ในมุมมองของคุณสมหะทัย เห็นว่า ประเทศเวียดนาม มีจุดแข็งใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
นั่นหมายความว่า ประชากรเข้าสู่การจับจ่ายใช่สอย ทำให้ตลาดในประเทศเวียดนามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศ คือ FTA เกือบ 60 ประเทศไปได้ดี และการที่นายกรัฐมนตรี ประเทศเวียดนามได้ประกาศจะเป็นประเทศที่ Net Zero ในปี 2050 ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อินเทรนด์ เพราะลูกค้าอมตะ เวียดนาม อยากได้พลังงานสะอาด
“ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ประเทศเวียดนามตั้งธงชัดเจน และมีกระบวนการที่ชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าการลงทุนโดยตรง (FDI) จากนักลงทุนต่างชาติปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ก่อนที่ 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก GDP ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 6.0-6.5% ซึ่งเชื่อว่า FDI ที่เข้ามานั้น 70% อยู่ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นลูกค้าของอมตะเวียดนาม ทั้งจากในแถบเอเซีย จีน เราต้องรักษาฐานลูกค้าให้ได้ และเชื่อว่าเวียดนามจะเป็นหนึ่งทางเลือกในการลงทุน” คุณสมหะทัย
กลุ่มอมตะไดด้เข้าไปลงทุนประเทศเวียดนามมาแล้วเกือบ 30 ปี ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่การลงทุนเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ โดยได้มีการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง และ โครงการนิคมอุตสาหกรรมร่วมทุนกับพันธมิตร อีก 1 แห่ง ดังนี้
โดยรัฐบาลเวียดนามมีการลงทุน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นถนนทางหลวงขนาดใหญ่ ทางด่วน รวมถึงถนนวงแหวน และมีการพัฒนาสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ห่างจากนิคมฯ เพียง 10 กิโลเมตร มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาคใต้ เอื้อต่อการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยคิดเป็นมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 860 ล้านเหรียญสหรัฐ บนพื้นที่ดินที่ได้รับการพัฒนาแล้วทั้งหมด 3,000 เฮกตาร์ หรือ18,750 ไร่ ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงผู้ประกอบการต่างประเทศ (FDI)ทั้งภาคอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ใช้พื้นที่มากกว่า 200 ราย คิดเป็นมูลค่าลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เกิดการจ้างงาน มากกว่า 60,000 คน
โดยอมตะ ได้เข้าไปพัฒนา เป็นพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์ของเวียดนาม ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเซีย ที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด คิดเป็น 70% ของนักลงทุนทั่วโลก อันดับ 1 เป็นประเทศสิงคโปร์ ตามด้วย ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่เข้ามาลงทุน เพื่อผลิตสินค้า และส่งออก ส่งผลให้เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตอย่างต่อเนื่อง
กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AMATAV เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในปีนี้ว่า
กลยุทธ์แรก คือ ทำอย่างไรให้สามารถขายที่ดินได้ตามเป้าหมายในราคาที่สูงที่สุด จากการที่มีพาร์ทเนอร์เป็นชาวญี่ปุ่นเข้ามา เพื่อเปิดตลาดญี่ปุ่น ขยายตลาดญี่ปุ่น และมีเอเย่นที่ทำงานตลอดเวลา โดยเฉพาะประเทศจีน
กลยุทธ์ที่ 2 คือ เรื่องสาธารณูปโภค ที่เป็นปัญหาของเวียดนาม คือ เรื่องไฟฟ้า ทางอมตะวีเอ็น ได้มีการเข้าพบและหารือ พิสูน์ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเวียดนามให้เห็นว่า ทางอมตะวีเอ็นมีความตั้งใจจริงในการเข้ามาลงทุนและได้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตจากแบบเดิมที่ใช้ไฟไม่มาก เป็นการผลิตสินค้าพวกเซมิคอนดรัคเตอร์มากขึ้น ซึ่งทางการเวียดนามก็ได้อนุมัติให้ไฟมาให้กับอมตะวีเอ็นมาได้ถึง 2 เท่าของความต้องการใช้ ทำให้อมตะวีเอ็นสามารถขายที่ดินพร้อมกับมีไฟฟ้าใช้อย่างเหลือเฟือ ให้กับลูกค้าได้
“การเจริญเติบโตของเรามองต่อไปถึงการสร้างมูลค่าของที่ดินของเราได้ จึงได้มองถึงการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูป โกดังสินค้า โลจิสติก ส่วนเรื่องไฟฟ้าไม่ใช่แค่ไฟฟ้าของทางรัฐบาล แต่อมตะวีเอ็นมองถึงเรื่องไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนด้วย ไม่ใช่แค่โซลาร์เซล์ เรามองต่อไปเรื่องของไฟฟ้าที่มาจากพลังงานลม ไบโอแมส สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาผนวกเข้าด้วยกัน”
นอกจากนี้ อมตะวีเอ็นกับทางพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นก็สนใจเรื่องของ Smart Utinity ได้รับกองทุนเข้ามาพัฒนา ต้องการเข้ามาทำนิคมฯ ที่ภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบันมาอยู่ 20 โรงงาน และอาจจะนำแพลตฟอร์มนี้มาทำที่นิคมฯ ภาคใต้ด้วยเช่นกัน
โดยอมตะวีเอ็นมองว่าในขณะนี้ อมตะวีเอ็นมี Best Location : การมีทำเลที่ดี มี Best Partner : การมีพันธมิตรที่ดี และมี Best Contumer เพื่อที่เราจะให้บริการแบบ Best Service ให้กับลูกค้า
“ในปี 2567 อมตะวีเอ็น ได้ตั้งงบลงทุนเพื่อพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม และตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน ขณะนี้มียอดขายที่รอโอน (Backlog) 60 เฮกเตอร์ อยู่ในระหว่างเร่งดำเนินการเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีลูกค้าสนใจเข้ามาลงทุนในเวียดนามต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม”