Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ปีนี้เงินพุ่งแรงเหนือทอง แต่แรงหนุนอาจไม่ยั่งยืน ปี69จะขึ้นอีกหรือไม่?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ปีนี้เงินพุ่งแรงเหนือทอง แต่แรงหนุนอาจไม่ยั่งยืน ปี69จะขึ้นอีกหรือไม่?

29 ธ.ค. 68
11:50 น.
แชร์

ราคาซิลเวอร์หรือโลหะเงิน กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ร้อนแรงที่สุดของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังราคาปรับตัวขึ้นเกือบเท่าตัวนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่ และให้ผลตอบแทนเหนือกว่าทองคำอย่างชัดเจน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยหันกลับมาให้ความสนใจกับเงินในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกอีกครั้ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยงรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของตลาดเงินชี้ให้เห็นว่า การปรับขึ้นอย่างรุนแรงของโลหะเงินในลักษณะนี้แทบไม่เคยจบลงในทางบวกต่อนักลงทุน เพราะทุกครั้งที่ราคาเงินพุ่งแรง มักตามมาด้วยความผันผวนสูงและการปรับฐานที่ลึก การพุ่งขึ้นรอบล่าสุดจึงไม่ใช่เพียงภาพสะท้อนของอุปสงค์เชิงโครงสร้างเท่านั้น หากยังสะท้อนอารมณ์ของตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความกังวลและการคาดการณ์เชิงนโยบายเป็นสำคัญ

อุตสาหกรรมหนุนดีมานด์ แต่เริ่มกดทับศักยภาพราคา

แม้แรงเก็งกำไรจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของราคาซิลเวอร์ในรอบนี้ แต่อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมก็มีบทบาทไม่น้อยในการหนุนแนวโน้มขาขึ้น ปัจจุบันราว 58% ของความต้องการใช้เงินมาจากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เงินไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงโลหะสำหรับการลงทุนอีกต่อไป หากแต่เป็นวัตถุดิบเชิงยุทธศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและเทคโนโลยีในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรงเริ่มส่งผลย้อนกลับต่อภาคการผลิตเอง ต้นทุนเงินในกระบวนการผลิตแผงโซลาร์เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5% เมื่อปีก่อน เป็นมากกว่า 11-13% ในปัจจุบัน ส่งผลให้มาร์จินของผู้ผลิตถูกบีบตัวลง ผู้ประกอบการบางรายจึงเริ่มมองหาทางเลือกอื่น ทั้งการลดสัดส่วนการใช้เงิน ปรับสูตรวัสดุ หรือเปลี่ยนกระบวนการผลิต เพื่อควบคุมต้นทุนและรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ในระดับราคาปัจจุบัน ความต้องการใช้เงินมีแนวโน้มอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากขึ้น ซึ่งอาจเริ่มจำกัดศักยภาพการปรับขึ้นในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน ราคาที่พุ่งแรงก็มีแนวโน้มกระตุ้นการตอบสนองจากฝั่งอุปทาน แม้เงินราว 70% ของการผลิตทั่วโลกจะเป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองโลหะชนิดอื่น โดยเฉพาะทองแดง แต่ระดับราคาที่สูงขึ้นช่วยเพิ่มความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการขยายกำลังการผลิตและการลงทุนในเหมือง ส่งผลให้ภาวะตึงตัวด้านอุปทานที่เห็นอยู่ในปัจจุบันอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว

ในเชิงโครงสร้าง เงินยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะเฉพาะและแตกต่างจากสินทรัพย์การเงินประเภทอื่น เพราะเงินไม่ก่อให้เกิดกระแสรายได้เหมือนหุ้นหรือพันธบัตร และแม้จะมีบทบาทในภาคอุตสาหกรรมจริง แต่ราคากลับถูกกำหนดโดยสถานะการเก็งกำไรในตลาดการเงิน ความผันผวนของเงินจึงอยู่ในระดับสูงผิดปกติ และในบางช่วงยังแสดงพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอร์เรนซี มากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์แบบดั้งเดิม

บทเรียนจากอดีตสะท้อนความเสี่ยงของตลาดเงินได้อย่างชัดเจน ในช่วงปี 2522-2523 ราคาเงินพุ่งจากระดับราว 6 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปเกือบ 49 ดอลลาร์ ก่อนจะทรุดตัวลงมากกว่า 90% ขณะที่ในปี 2554 ราคาขยับขึ้นไปใกล้ 48 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับตัวลดลงมากกว่า 75% ในช่วงหลายปีถัดมา ทุกกรณีล้วนมีจุดร่วมคือ การปรับฐานรุนแรงมักเกิดขึ้นหลังจากราคาขยายตัวหลายเท่าตัวมาแล้ว นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในช่วงการระบาดของโควิด ราคาซิลเวอร์ปรับขึ้นมากกว่าหกเท่า และเพียงในช่วงปีที่ผ่านมา ก็เกือบเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า สะท้อนความร้อนแรงที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับระยะข้างหน้า จังหวะเวลาจะมีความสำคัญอย่างมาก รายงานการทบทวนภายใต้มาตรา 232 ซึ่งเดิมคาดว่าจะเผยแพร่ในเดือนตุลาคม 2568 ถูกเลื่อนออกไป โดยเมื่อรายงานถูกเปิดเผยแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีเวลาไม่เกิน 90 วันในการตัดสินใจว่าจะดำเนินมาตรการภาษีหรือไม่ เมื่อความไม่แน่นอนในประเด็นนี้คลี่คลาย ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางใด แรงจูงใจในการกักตุนเงินไว้ภายในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะลดลง เปิดทางให้ภาวะตึงตัวด้านอุปทานคลี่คลาย และอาจทำให้แรงเก็งกำไรในตลาดกลับทิศได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ สัญญาณด้านมูลค่าของเงินเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นยังสะท้อนภาวะตึงตัวของตลาดเงินเช่นกัน จากมุมมองของนักลงทุนอินเดีย เงินในปัจจุบันอยู่ในอีกด้านหนึ่งของความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับตลาดหุ้นภายในประเทศ อาทิ ดัชนี Nifty เมื่อราวสองปีก่อน เงินยังถูกมองว่ามีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้น แต่ในวันนี้ ดุลยภาพดังกล่าวได้พลิกกลับไปอยู่ฝั่งตลาดหุ้นอย่างชัดเจน

การปรับขึ้นของราคาที่รุนแรงมักมาพร้อมกับเรื่องเล่าที่ทรงพลังและฟังดูน่าเชื่อถือ แต่สำหรับตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยแรงเก็งกำไรเป็นหลักอย่างแร่เงิน เมื่อโมเมนตัมเริ่มสะดุด ราคาสินทรัพย์ก็อาจปรับฐานได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง นักลงทุนจึงไม่ควรมองว่าระดับราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือหลักประกันของผลตอบแทนที่ยั่งยืน เพราะสิ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคงในวันนี้ อาจพังลงด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึงในวันข้างหน้า

แนวโน้มราคาเงินปี 2569 เป็นอย่างไร? ผู้เชี่ยวชาญประเมินทิศทาง

ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทองคำและโลหะเงินหลายรายให้มุมมองว่า ราคาเงินในปี 2569 ยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อที่ยังไม่กลับสู่เป้าหมาย และบทบาทของโลหะเงินในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง

  • อะไรจะหนุนให้ราคาเงินปรับขึ้นในปี 2569

โดยทั่วไป เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงหรือมีแนวโน้มเร่งตัว มักส่งผลบวกต่อราคาโลหะเงิน ปีเตอร์ รีแกน นักกลยุทธ์ตลาดการเงินจาก Birch Gold Group อธิบายว่า แม้แรงกดดันเงินเฟ้อจะเริ่มผ่อนคลายในช่วงหลัง แต่ระดับเงินเฟ้อปัจจุบันยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ซึ่งสะท้อนว่าความไม่แน่นอนด้านเงินเฟ้อยังไม่หมดไป และอาจส่งผลต่อราคาเงินต่อเนื่องเข้าสู่ปี 2569

รีแกนมองว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ ทำให้การวางแผนทางการเงินระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องการเกษียณ มีความท้าทายมากขึ้น ขณะที่โลหะเงินอาจได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง “แม้จะไม่มีอะไรรับประกันได้ แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย ชี้ว่าราคาเงินและความต้องการลงทุนอาจปรับสูงขึ้นในปีหน้า” เขากล่าว

ด้านโจชัว ดี. กลอว์สัน ผู้จัดการฝ่ายเนื้อหาของ Money Metals Exchange เห็นว่าราคาเงินมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อในปี 2569 โดยเฉพาะจากความต้องการลงทุนผ่านสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เช่น กองทุน ETF โลหะมีค่า และตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น

เขาชี้ว่า ปริมาณความต้องการจากกองทุน ETF บางส่วนสูงกว่าปริมาณโลหะเงินจริงที่มีอยู่ในตลาด ส่งผลให้ราคาเงินทั้งในตลาดฟิวเจอร์สและตลาดสปอตถูกดันขึ้น อีกทั้งรัฐบาลบางประเทศยังเริ่มสนับสนุนการลงทุนผ่านกองทุน ETF เงิน ซึ่งยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันด้านราคา “ผมไม่สามารถบอกอนาคตได้ แต่คาดว่าราคาเงินจะยังคงปรับขึ้นต่อในปี 2569” กลอว์สันกล่าว

  • ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันราคาเงิน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หันกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2569 ราคาเงินอาจเผชิญแรงกดดันขาลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้สินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ เช่น เงินฝากดอกเบี้ยสูง หรือพันธบัตร ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่า และดึงเงินลงทุนออกจากสินทรัพย์ที่มีความผันผวนอย่างโลหะเงิน

เฮนรี โยชิดะ ที่ปรึกษาการเงิน CFP และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ Rocket Dollar มองว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ตึงตัวขึ้น รวมถึงการชะลอตัวของภาคการผลิตทั่วโลก อาจทำให้ความต้องการใช้โลหะเงินลดลง โดยเฉพาะในบริบทที่มาตรการภาษีนำเข้าและความตึงเครียดทางการค้า ดันต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรมให้สูงขึ้น

เขาแนะนำให้นักลงทุนติดตามปัจจัยหลักสามด้าน ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง กิจกรรมการผลิตทั่วโลก และความคืบหน้าของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน หากเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย แต่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน ราคาเงินอาจปรับตัวได้ช้ากว่าสินทรัพย์อื่น

  • โอกาสที่ราคาเงินจะทรงตัวในปี 2569

ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเริ่มเข้าสู่ช่วงทรงตัว ขณะที่อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมชะลอลงเพียงเล็กน้อย ราคาเงินอาจเคลื่อนไหวในกรอบแคบมากขึ้นในปี 2569

โยชิดะระบุว่า หากผลตอบแทนที่แท้จริงปรับสูงขึ้นอีกครั้ง และความต้องการใช้โลหะเงินในภาคอุตสาหกรรมไม่เร่งตัว ราคาเงินอาจทรงตัวหรืออ่อนลงจากระดับปัจจุบันได้

โดยภาพรวม ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหะมีค่าส่วนใหญ่ยังให้น้ำหนักว่าราคาเงินมีแนวโน้มขยับขึ้นในปี 2569 โดยเฉพาะในช่วงที่ราคายังเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้โลหะเงินถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าทองคำสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า การลงทุนในโลหะเงินควรถูกมองในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงในพอร์ตมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น “สำหรับนักลงทุนระยะยาว โลหะเงินควรเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารพอร์ต ไม่ใช่การเดิมพันทิศทางราคาในช่วงสั้น ๆ” โยชิดะกล่าว


อ้างอิง: CBS, MSN

แชร์
ปีนี้เงินพุ่งแรงเหนือทอง แต่แรงหนุนอาจไม่ยั่งยืน ปี69จะขึ้นอีกหรือไม่?