Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทองพุ่งทะลุ $4,300/ออนซ์ รูปพรรณไทยทะลุ 68,000 กูรูมองขาขึ้นยาวถึงปี69
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ทองพุ่งทะลุ $4,300/ออนซ์ รูปพรรณไทยทะลุ 68,000 กูรูมองขาขึ้นยาวถึงปี69

17 ต.ค. 68
13:20 น.
แชร์

ราคาทองคำในวันนี้ (17 ต.ค. 68) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนเร่งหาที่หลบภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อในเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งในประเด็นการค้า ราคาทองคำแท่งปรับตัวขึ้นมากถึง 1.2% แตะระดับ 4,379.93 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ในวันศุกร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมทะยานแตะ 30 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นการทำสถิติการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2551 และยังคงเป็นการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มขาขึ้นที่เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ด้านราคาทองคำไทย ณ เวลา 13.17 น. ราคาทองคำในประเทศมีการปรับเปลี่ยนแล้วทั้งหมด 17 ครั้ง โดยราคาทองคำแท่งรับซื้ออยู่ที่ 67,200 บาทต่อบาททองคำ และขายออกที่ 67,300 บาทต่อบาททองคำ ส่วนทองรูปพรรณรับซื้ออยู่ที่ 65,855.04 บาทต่อบาททองคำ และขายออกที่ 68,100 บาทต่อบาททองคำ ขณะเดียวกัน ราคาทองคำสปอต (Spot Gold) ในตลาดโลกอยู่ที่ 4,364.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

นักวิเคราะห์ระบุว่าแรงซื้อทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนการชะลอตัวของกิจกรรมภาคการผลิตและยอดค้าปลีกในเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเริ่มรอบการปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีตะวันออกกลางและการขัดแย้งในเอเชียตะวันออก ก็เป็นแรงผลักดันเพิ่มเติมให้กับความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

กระแสการเข้าซื้อทองคำอย่างหนักในหมู่นักลงทุนยังเชื่อมโยงกับกระแสข่าวลือว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงกว่าคาดภายในปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้สินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ยอย่างทองคำมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับลดลงต่อเนื่องจากระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน

ราคาซิลเวอร์หรือโลหะเงินก็ทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน โดยพุ่งขึ้นแตะระดับ 54.3775 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันศุกร์ จากการซื้อขายในสัญญาที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Chicago Board of Trade ก่อนจะลดลงเล็กน้อยหลังจากนั้น การพุ่งขึ้นของซิลเวอร์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์เดียวกันกับที่ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในตลาดโลก ขณะที่โลหะมีค่าชนิดอื่นอย่างพัลลาเดียมและแพลทินัมก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรมและการฟื้นตัวของตลาดยานยนต์ในยุโรปและเอเชีย และมีแนวโน้มจะปิดสัปดาห์ด้วยผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง

ปัจจัยหนุนราคาทองคำ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นต่อเนื่องมาจากปัจจัยหลายด้าน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดการเงินสหรัฐตกอยู่ในความตึงเครียด หนึ่งในนั้นคือรายงานจากธนาคารระดับภูมิภาคสองแห่งในสหรัฐที่เปิดเผยปัญหาด้านสินเชื่อซึ่งมีข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกง ทำให้เกิดความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและเสถียรภาพทางการเงินในวงกว้าง รายงานดังกล่าวระบุว่ามีการปล่อยกู้เกินมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันและการบันทึกบัญชีไม่โปร่งใส ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินท้องถิ่นและตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากทั้งสองฝ่ายมีการตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้าใหม่ โดยสหรัฐประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีน ขณะที่ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานและอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดจากการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ (Shutdown) ยังทำให้ตลาดขาดข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่ใช้ในการประเมินทิศทางการเติบโตของประเทศ ซึ่งยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการใช้จ่ายภาครัฐและการจ้างงานที่อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้น การผสมผสานของปัจจัยเหล่านี้ทำให้ราคาทองคำทั่วโลกทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ (DXY) และตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ

ในขณะเดียวกัน ตลาดการเงินยังได้รับแรงกระตุ้นจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวในสัปดาห์นี้ว่า Fed กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ภายในเดือนนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ที่ไม่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย

ข้อมูลจาก Spectator Index ระบุว่าราคาทองคำได้พุ่งขึ้นถึง 165.61% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยในปี 2565 ราคาทองอยู่ที่ราว 1,649 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายในเวลาอันสั้น

เฉพาะในปี 2568 เพียงปีเดียว ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นมากกว่า 65% โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อของธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก ซึ่งเพิ่มการถือครองทองคำสำรองเพื่อลดความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ การไหลเข้าของกองทุนทองคำแบบ ETF (Gold Exchange Traded Funds) ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่มีสัดส่วนการถือครองทองคำสูงสุดในรอบ 10 ปี

ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยยังได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การค้า และความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง รวมถึงแรงกดดันต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ ปัจจัยทั้งหมดนี้รวมกันได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทองคำกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้งในตลาดโลก โดยแทบไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดชะงักในระยะสั้น

มุมมองจากสถาบันการเงินโลก แนวโน้มขาขึ้นอาจยืดถึงปี 2569

จากปัจจัยเสริมเหล่านี้ เอชเอสบีซี (HSBC) สถาบันการเงินข้ามชาติของอังกฤษ ได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาเฉลี่ยของทองคำปีนี้ขึ้นเป็น 3,355 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ จากประมาณการก่อนหน้าที่ 3,125 ดอลลาร์สหรัฐ

ในรายงานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (15 ตุลาคม) เอชเอสบีซีกล่าวว่า การปรับเพิ่มประมาณการดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และแรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก “ในขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำคาดว่าจะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2569 โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของสถาบันการเงินทั่วโลกในฐานะส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง” เอชเอสบีซีกล่าวในรายงานล่าสุด

เอชเอสบีซียังได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาเฉลี่ยของทองคำในปี 2569 เป็น 3,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ จากประมาณการก่อนหน้าที่ 3,125 ดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์ตลาดโลหะมีค่าของเอชเอสบีซีก็ได้ระบุเช่นกันว่า แนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำในปัจจุบันอาจดำเนินต่อไปได้ถึงปี 2569  อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีเตือนว่า อัตราการปรับขึ้นอาจชะลอตัวลง โดยเฉพาะหากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยุติรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ รายงานก่อนหน้านี้ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของสองธนาคารระดับโลก ได้แก่ แบงก์ออฟอเมริกา (BoFA) และโซซิเอเต้ เจเนราล์ (Société Générale) ซึ่งต่างก็ได้ปรับเพิ่มประมาณการราคาเฉลี่ยทองคำในปี 2569 ขึ้นเป็น 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ สะท้อนมุมมองร่วมกันในหมู่นักวิเคราะห์สากลว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเติบโตในระยะกลางถึงยาว หากสภาพแวดล้อมทางการเงินทั่วโลกยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากหนี้สิน การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์


แชร์
ทองพุ่งทะลุ $4,300/ออนซ์ รูปพรรณไทยทะลุ 68,000 กูรูมองขาขึ้นยาวถึงปี69