
บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ในรายชื่อ 20 ตลาดหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดในโลกในปี 2025 นี้ (นับจากต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน) เป็นตลาดหุ้นในทวีปยุโรปถึง 10 ตลาด ซึ่งนี่เป็นความสำเร็จที่ยุโรปเคยทำได้เพียงสามครั้ง (ปี 2004, 2015 และ 2023) นับตั้งแต่ก่อตั้งยูโรโซนในปี 1999 พิสูจน์ให้เห็นถึงการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อตลาดหุ้นยุโรป
การปรับตัวขึ้นสูงของตลาดหุ้นในยุโรปถือเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจ เนื่องจากนักกลยุทธ์การลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าปีนี้ตลาดยุโรปจะมีการปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และคาดว่าตลาดสหรัฐฯซึ่งเศรษฐกิจยังแข่งแกร่งจะทำผลงานได้ดีกว่า
ก่อนจะไปดูว่าอะไรเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในยุโรป มาดูกันว่า 20 อันดับตลาดหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดในโลกในปีนี้มีตลาดใดบ้าง
แม้ว่าตลาดหุ้นเยอรมนีและฝรั่งเศสจะไม่ติดใน 20 อันดับแรก โดยอยู่ในอันดับ 34 และ 54 ตามลำดับ แต่ก็ยังนำหน้าดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 63 ขณะที่ดัชนี Stoxx 600 ซึ่งเป็นดัชนีรวมหุ้นจาก 17 ประเทศในยุโรป กำลังเข้าใกล้จุดที่ทำผลงานเหนือกว่า S&P 500 ของสหรัฐฯมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2006 (เมื่อเทียบในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ)
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหุ้นสหรัฐฯทำผลงานแย่ ปีนี้ดัชนี S&P 500 ยังปรับขึ้นถึง 16% และมีแนวโน้มทำผลงานระดับเลขสองหลักต่อเนื่องเป็นปีที่สาม
รายงานของบลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า ในปีที่สงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐฯสร้างความปั่นป่วนให้ตลาด ประเทศในยุโรปที่พึ่งพารายได้ภายในประเทศเป็นหลักอย่างอิตาลีและสเปน กลายเป็นตลาดที่นักลงทุนชื่นชอบมากที่สุด และอีกเหตุผลสำคัญคือ บริษัทในยุโรปมีการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในสัดส่วนที่น้อย ทำให้นักลงทุนมองว่าหุ้นยุโรปน่าสนใจมากขึ้น ในช่วงเวลาที่ความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอีกรอบ
อีกปัจจัยที่มีส่วนทำให้ผลงานของตลาดหุ้นยุโรปเหนือกว่าคาดคือ ค่าเงินยูโรที่ปีนี้แข็งค่าขึ้น 12% เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะใช้จ่ายงบประมาณหลายพันล้านยูโรในด้านการป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน และอัตราเงินเฟ้อของยุโรปกลับลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายแล้ว ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าดัชนีหุ้นยุโรปทำผลงานดีเพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลัก แต่ดัชนีหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นและรักษาอันดับได้แม้วัดเป็นสกุลเงินท้องถิ่นก็ตาม โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการธนาคาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และพลังงานหมุนเวียน
“ยุโรปกำลังอยู่ในจุดที่ดีมากตอนนี้ … เมื่อไหร่ที่เกิดความลังเลต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดสหรัฐฯ ตลาดยุโรปก็เหมือนเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงให้คุณ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว มันไม่ได้พึ่งพาหุ้นเทคโนโลยีเหมือนสหรัฐฯ” ฟลอเรียน อีลโพ (Florian Ielpo) หัวหน้าฝ่ายมหภาคของบริษัทจัดการสินทรัพย์ ลอมบาร์ด โอเดียร์ (Lombard Odier Investment Managers) กล่าว
ทั้งนี้ หุ้นธนาคารเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 67% ในปีนี้ และนักลงทุนคาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะยังคงปรับตัวขึ้นโดดเด่นต่อไป จากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง กิจกรรมการควบรวมและซื้อกิจการที่ฟื้นตัว และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่มีเสถียรภาพ
หุ้นในกลุ่มสินค้าป้องกันประเทศ เช่น Rheinmetall AG และ Leonardo SpA ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายทางการทหารจะเพิ่มขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มพลังงานหมุนเวียนก็ได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่ง เนื่องจากจำเป็นต่อการรองรับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI
ฝั่งสถานการณ์ในตลาดสินค้าหรูก็กำลังดูสดใส โดยหุ้นขนาดใหญ่อย่าง LVMH ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของความต้องการซื้อ (ดีมานด์) หลังจากที่ซบเซามาหลายไตรมาส ขณะเดียวกัน ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานและอุปทานที่ตึงตัว ทำให้หุ้นเหมืองแร่ของยุโรปกลายเป็นหุ้นที่ ‘ต้องถือ’
แม้แต่หุ้นกลุ่มการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ก็เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะความกังวลเรื่องราคายาและความเสี่ยงด้านภาษีศุลกากรเริ่มเบาบางลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มนี้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
นักลงทุนบางส่วนมองว่าแนวโน้มของตลาดหุ้นยุโรปจะไปได้ไกลขึ้นอีก จากปัจจัยหนุนอย่างอัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าสหรัฐฯ การที่เยอรมนีกำลังจะเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และการคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัวในระยะต่อไป
ผลการสำรวจประจำเดือนของแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) สะท้อนให้เห็นด้วยว่า นักลงทุนกำลังเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นยุโรป ขณะที่ปรับลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสหรัฐฯลงเล็กน้อย
นิก เลาซ์ (Nick Laux) หัวหน้าฝ่ายการซื้อขายหุ้นระหว่างประเทศของ Bank of America กล่าวว่า ในช่วงต้นปี นักลงทุนลังเลมากเกี่ยวกับการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นยุโรป แต่ในที่สุดผลงานที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยตลาดโลกก็ทำให้นักลงทุนปฏิเสธไม่ได้ เลาซ์บอกอีกว่า ยังมีโอกาสที่ตลาดหุ้นยุโรปจะทำผลงาน outperform ต่อไปอีกในปีหน้า
ปัจจัยบวกอย่างหนึ่งสำหรับตลาดหุ้นยุโรปในระยะต่อไป คือ ราคาหุ้นยังถือว่าค่อนข้างถูก แม้จะฟื้นตัวขึ้นมามากในปีนี้แล้ว ดัชนี Stoxx 600 ซื้อขายในระดับต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ราว 35% เมื่อพิจารณาจากค่า forward P/E ซึ่งหมายความว่า แม้กำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยในปีนี้ ก็อาจเพียงพอที่จะดันตลาดขึ้นไปทำระดับสูงสุดใหม่ (new high) ได้
ด้านกระแสเงินทุนก็สะท้อนมุมมองเชิงบวกเช่นกัน ปีนี้กองทุนหุ้นยุโรปมีเงินไหลเข้าแล้วประมาณ 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตรงกันข้ามกับปีที่แล้วที่มีเงินไหลออกถึง 66,000 ล้านดอลลาร์
“ในเดือนมกราคม จะมีการจัดสรรเงินทุนบางส่วนไปยังตลาดนอกสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน หากหุ้นยุโรปสามารถแสดงให้เห็นว่ามีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ เงินทุนก็จะไหลเข้าตามมา” นิก เลาซ์ วิเคราะห์
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า อัตราการเติบโตของกำไร (earnings) ของบริษัทในตลาดหุ้นในยุโรปจะตามทันหุ้นสหรัฐฯได้ในที่สุด หลังจากที่ตามหลังมาตั้งแต่ปี 2023 โดยคาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี Stoxx 600 จะมีอัตราการเติบโตของกำไร 11% ในปีหน้า ขณะที่กำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13%
อย่างไรก็ตาม มีเสียงเตือนว่าความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อตลาดยุโรปอาจสูงเกินไป เพราะยังมีความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส คำถามเกี่ยวกับผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนี และการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนในอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ของยุโรป อย่างเช่น สินค้าอุปโภคบริโภคและรถยนต์
“หุ้นยุโรปยังเผชิญความเสี่ยงจากประมาณการกำไรในปีหน้าอยู่มาก … เรามองว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้นสูงเกินไป และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับลดลง” มารินา ซาโวล็อก (Marina Zavolock) หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นยุโรปของ มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) เตือน