
เข้าสู่ช่วงปลายปี หลายคนคงมองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษีและคงกำลังคิดว่า จะซื้อเหมือนเดิมทุกปี หรือเปลี่ยนไปซื้ออย่างอื่นดี บทความนี้จะชวนทุกคนมาตั้งคำถามและประเมินความชอบหรือความจำเป็นของตนเองดูว่า ตัวช่วยลดหย่อนภาษีไหน จะเป็นแบบที่ใช่สำหรับเรา
ตัวช่วยที่ตอบโจทย์เรื่องเงินต้นอยู่ครบที่สุด คือ ประกันชีวิต ที่หากจ่ายเบี้ยและถือประกันจนครบสัญญา จะได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนตามสัญญา โดยประกันชีวิตที่ว่า ได้แก่
ผลตอบแทนประกันชีวิต หากคำนวณเป็นอัตราผลตอบแทนต่อปี หรือ IRR จะอยู่ที่ประมาณ 1%-3%ต่อปี ขึ้นกับแบบประกัน เพศ อายุ และทุนประกันที่ซื้อไว้
อย่างไรก็ตามตัวช่วยที่ตอบโจทย์รองลงมา คือ กองทุน RMF และกองทุน Thai ESG ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ ผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยระยะยาว มักอยู่ที่ 1%-3%ต่อปีเช่นกัน เพียงแต่มูลค่าเงินที่ลงทุนจะมีขึ้นลง ไม่ได้การันตีว่าเงินต้นอยู่ครบเมื่อครบเงื่อนไขระยะเวลาลงทุน แต่โดยธรรมชาติของกองทุนตราสารหนี้หากถือลงทุนได้นานกว่า Duration หรืออายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุน ที่ผ่านมาผลตอบแทนที่ได้รับมักไม่ติดลบ ดังนั้นหากต้องการกองทุนความผันผวนต่ำ ไม่อยากเห็นขาดทุนนานเกิน 6-12 เดือน ตัวช่วยที่ตอบโจทย์ คือ กองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็มักต่ำตาม
ต้องการกองทุนที่ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เช่น เฉลี่ย 1-3%ต่อปี สามารถเห็นผลขาดทุนได้นานเกิน 1 ปี แต่ยังต้องการให้เมื่อครบระยะเวลาการลงทุน เช่น 5 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี ผลตอบแทนไม่ติดลบหรือลบได้แต่ต้องไม่มาก ตัวช่วยที่ตอบโจทย์ คือ กองทุน Thai ESG หรือกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว
โดย Duration ของกองทุนตราสารหนี้ สามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวนฉบับย่อ (Fund Fact Sheet) ที่อัปเดตทุกเดือน
ตัวช่วยที่ตอบโจทย์เรื่องความหลากหลายการลงทุนที่สุด คือ กองทุน RMF ซึ่งถือเป็นกองทุนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของไทยที่ยังคงสามารถลงทุนลดหย่อนภาษีได้อยู่ และกฎเกณฑ์ก็เปิดให้กองทุน RMF สามารถลงทุนสินทรัพย์ได้หลากหลาย ตั้งแต่ตราสารหนี้ระยะสั้น ตราสารหนี้ระยะยาว ผสม หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เป็นต้น
เงินที่ลงทุนกองทุน RMF ไป ในระหว่างที่ยังไม่ครบเงื่อนไข ยังสามารถสับเปลี่ยนไปกองทุน RMF อื่น ภายใต้ บลจ.เดียวกันได้อย่างอิสระ และมักไม่มีค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนด้วย ดังนั้นหาก
ตัวช่วยที่ตอบโจทย์เรื่องระยะเวลาสั้นที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ คือ กองทุน Thai ESG เพราะมีเงื่อนไขการถือครองเพียง 5 ปีเต็มเท่านั้น สั้นกว่าประกันชีวิตที่ต้องมีอายุกรมธรรม์ 10 ปีขึ้นไป และกองทุน RMF ที่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปีถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ อย่างไรก็ตาม กองทุน Thai ESG แม้จะเป็นไปได้ทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม และกองทุนหุ้น รวมถึงยังมีแบบที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล แต่มีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ ต้องเน้นลงทุนสินทรัพย์ที่อยู่ในไทย และเกี่ยวข้องกับ ESG เท่านั้น ทำให้มีความเสี่ยงการลงทุนกระจุกตัว ในสินทรัพย์ที่ออกโดยบางบริษัทหรือบางหน่วยงานเท่านั้น
สำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ตัวช่วยที่ตอบโจทย์เรื่องระยะเวลาสั้นที่สุด คือ กองทุน RMF เพราะด้วยเงื่อนไขที่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปีจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม เช่น หากปัจจุบันอายุ 51 ปีขึ้นไป ก่อนหน้านี้และอนาคตได้ลงทุนกองทุน RMF มาแล้วอย่างต่อเนื่องทุกปี เงินที่ลงทุนตอนนี้ จะสามารถขายคืนได้ตอนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ พร้อมกับเงินในกองทุน RMF อื่น ซึ่งคิดเป็นเพียง 4 ปี นับจากปีแรกที่ลงทุน
ตัวช่วยที่ตอบโจทย์เรื่องหลักประกันได้ดีที่สุด คือ ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ดังนั้นหากต้องการมีหลักประกันเงินก้อนโต ให้กับครอบครัว ตัวช่วยที่ตอบโจทย์ คือ
เบี้ยประกันชีวิต แต่ละปีลดหย่อนตามเงินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท*
เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง แต่ละปีลดหย่อนตามเงินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท**เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา แต่ละปีลดหย่อนตามเงินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
* ในแต่ละปี RMF + ประกันบำนาญ + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กบข. + กองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน + กอช. รวมกันใช้สิทธิได้สูงสุด 5 แสนบาท
** ในแต่ละปี เบี้ยประกันชีวิต + เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง รวมกันใช้สิทธิได้สูงสุด 1 แสนบาท
ไม่ว่าเลือกใช้ตัวช่วยลดหย่อนภาษีแบบใด สิ่งสำคัญคือการประเมินความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของตนเองอย่างรอบคอบ เพราะแต่ละทางเลือกมีจุดเด่น เงื่อนไข และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน หากเลือกได้ตรงกับความต้องการ ไม่เพียงแต่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว เพื่ออนาคตที่มั่นคงและอุ่นใจในทุกสถานการณ์ ได้อีกด้วย

นักวางแผนการเงิน CFP