
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 หลังจากรวมเผ่าเร่ร่อนชาวมองโกลสำเร็จ เจงกิสข่าน ได้ออกตามหาศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับจักรวรรดิที่กว้างใหญ่ ตามตำนานพื้นบ้านของมองโกล เจงกิสข่านได้นิมิตจากหมอผี เกี่ยวกับหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับพร ซึ่งจะปกคลุมด้วยท้องฟ้าสีครามอันเป็นนิรันดร์
สถานที่แห่งนั้นคือ หุบเขาออร์คอน (Orkhon Valley) ซึ่งเป็นที่ราบกว้างใหญ่ที่ลมพัดแรงและเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มานานหลายศตวรรษ และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงก่อนหน้าด้วย สิ่งที่เริ่มต้นจากการเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์บนเส้นทางสายไหม ได้พัฒนาไปเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และถาวรกว่าคือ คาร์โครุม (Kharkhorum) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของพ่อค้า ช่างฝีมือ และเต็มไปด้วยสมบัติอันล้ำค่า
แม้ว่าคาร์โครุมจะจมหายไปใต้ผืนดินและทรายตามกาลเวลา แต่ความทรงจำของสถานที่นี้ยังคงอยู่ และขณะนี้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนให้เป็น เมืองหลวงใหม่ ของชาวมองโกเลีย
ปัจจุบัน กรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงมองโกเลีย เผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญหลายประการ การจราจรติดขัดอย่างหนักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกวันทำงาน ปัญหาเกิดจากการกระจุกตัวของโอกาสทางสังคมและเศรษฐกิจทั้งหมดไว้ในที่เดียว แรกเริ่มเมืองนี้ถูกออกแบบมาสำหรับประชากรเพียงประมาณ 250,000 คน แต่ปัจจุบันมีผู้อาศัยอยู่ประมาณ 1,600,000 คนอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด โรงไฟฟ้าถ่านหินจะเริ่มทำงาน ทำให้เกิดหมอกควันสีดำหนาทึบปกคลุมหุบเขาแม่น้ำทูล เนื่องจากการใช้ถ่านหินเพื่อทำความร้อนตั้งในเขตที่อยู่อาศัย มลพิษทางอากาศจึงทำให้รัฐบาลและประชาชนคิดแก้ปัญหาโดยย้ายไปเมืองหลวงที่ดีกว่าเดิม
ผู้นำประเทศได้วางแผนแม่บทมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำศูนย์กลางของประเทศกลับไปยังใจกลางบรรพบุรุษ โครงการสร้าง "นิวคาร์โครุม" (New Kharkhorum) นี้ยังออกแบบมาเพื่อบรรเทาปัญหามลภาวะและความแออัดในเมืองหลวงปัจจุบัน
คัลตาร์ ลัฟซัน นายกเทศมนตรีเมืองคาร์โครุม กล่าวว่า "คาร์โครุมดั้งเดิมเคยเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม การเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจของโลก เทียบได้กับที่นิวยอร์กเป็นศูนย์กลางระดับโลกในปัจจุบัน" เขากล่าวเสริมว่า "สิ่งที่เราตั้งเป้าจะทำตอนนี้คือการรวมอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นเข้ากับหลักการสมัยใหม่ของเมืองอัจฉริยะและเมืองดิจิทัล"
การย้ายเมืองหลวงเป็นกลยุทธ์ที่รัฐบาลต่าง ๆ ทั่วเอเชียพยายามใช้ เพื่อแก้ไขความล้มเหลว ในอดีต กระจายความเจริญรุ่งเรือง และฉายภาพวิสัยทัศน์แห่งอำนาจที่ได้มีการวางแผนไว้
ก่อนหน้านี้ มาเลเซียมุ่งมั่นที่จะย้ายเมืองหลวงจากกัวลาลัมเปอร์ ไปเป็น “ปูตราจายา” โดยปัจจุบัน เมืองแห่งใหม่นี้ได้เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการและตุลาการอย่างเป็นทางการแล้ว
ส่วนศรีลังกามีกรุงโคลัมโบเป็นเมืองหลวง แต่ปัจจุบันได้ทำให้ “ศรีชยวรรธนปุระโกฏเฏ” เป็นเมืองที่ใช้สำหรับหน่วยงานราชการ โดยอาคารรัฐสภาของประเทศอยู่ในเมืองนี้ รวมถึงเมียนมาที่ย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งมาเป็น “กรุงเนปิดอว์” อย่างเต็มรูปแบบ
หลายประเทศในเอเชียประสบปัญหาเดียวกับมองโกเลีย ทั้งความแออัด มลพิษ และปัญหาเมืองอื่น ๆ มากมาย และมีแนวโน้มว่าต้องการย้ายเมืองหลวงเพื่อแก้วิกฤตเหล่านั้น
เช่นเดียวกับอินโดนีเซียและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก (เช่น อียิปต์, อิเควทอเรียลกินี, ซูดานใต้) กำลังมองหาการสร้างศูนย์กลางใหม่ที่เน้นความยั่งยืน เป็นเมืองที่ผู้คนอยู่แล้วสุขภาพดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นเมืองอัจฉริยะที่ออกแบบให้ลูกหลานในอนาคต
นาตาลี โคช ศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ กล่าวว่า "สิ่งที่ทำให้การย้ายเมืองหลวงดูน่าดึงดูดใจมาก คือรัฐบาลและประชาชนในแต่ละประเทศจินตนาการถึงการสร้างเมืองใหม่จากกระดานชนวนที่ว่างเปล่า แต่เบื้องหลังคำขวัญที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคำมั่นสัญญาที่สดใส มีเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านั้นซ่อนอยู่ ในบางกรณี อาจรวมถึงองค์ประกอบของความทะเยอทะยานของชนชั้นนำ การลงทุนเก็งกำไร และ การแลกเปลี่ยนที่ไม่สมเหตุสมผล เพียงเพื่อจะนำไปสู่การสร้างเมืองในฝัน
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการย้ายเมืองหลวงนั้นแทบจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่นตามที่นักวางแผนจินตนาการไว้ จาก อาบูจา ในไนจีเรีย ถึง โดโดมา ในแทนซาเนีย, อัสตานา ในคาซัคสถาน และ เนปิดอว์ ในเมียนมา เมืองหลวงใหม่หลายแห่งในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาได้กลายเป็นเพียง “เปลือก” ของเมืองในฝันเท่านั้น
ศาสตราจารย์โคชกล่าวว่า "การสร้างอาคารบนกระดานชนวนที่ว่างเปล่า เป็นภาพที่น่ารัก แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่าเหล่านั้นในรัฐเลย"
ตามแผนระยะยาวของรัฐบาล ภายในปี 2050 คาดว่า ประชากรมองโกเลียจะสูงถึง 5 ล้านคน และประมาณ 10% ของประชากรนั้นจะอยู่ในภูมิภาคคาร์โครุม โดยคาดการณ์ว่าจะมีประชากรประมาณ 500,000 คน
เมื่อแผนแม่บทของเมืองเสร็จสมบูรณ์และได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 12 ถึง 18 เดือน โครงการจะเข้าสู่การดำเนินการเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายที่จะรองรับผู้อยู่อาศัยได้ถึง 30,000 คน ภายในหนึ่งทศวรรษ ความท้าทายเบื้องต้นอย่างหนึ่งคือการเชื่อมต่อภูมิภาคนี้ โดยมีแผนจะสร้างถนนและทางรถไฟที่ได้รับการอัปเกรด รวมถึง สนามบินนานาชาติแห่งใหม่
การออกแบบเมืองหลวงใหม่ยังรวมถึงการจัดกลุ่มเกษตรกรรมเต็มรูปแบบการฟื้นฟูทะเลสาบโบราณเป็นระยะ ๆ และการขุดค้นคาร์โครุมดั้งเดิม เพื่อเปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
นายกเทศมนตรีลัฟซันของคาร์โครุมกล่าวว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ "เพื่อสร้าง เส้นทางการท่องเที่ยวข้ามชาติที่เชื่อมต่อรัสเซีย จีน เอเชีย และยุโรป ผ่านมองโกเลีย" สถานที่สำคัญแห่งแรกกำลังดำเนินการอยู่แล้วในรูปแบบของ อุทยานเจงกิสข่านผู้ยิ่งใหญ่ (Great Khans’ Park) ซึ่งเป็นสวนอนุสรณ์ที่อุทิศให้กับผู้ปกครองของมองโกเลีย พร้อมกับการปลูกต้นไม้ใหม่ 700,000 ต้น
ผู้วางผังเมืองกล่าวว่า ธุรกิจ บริการสังคม โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ และผู้ให้บริการด้านการศึกษาจะตามมาเมื่อนิวคาร์โครุมเติบโตขึ้น โดยจะติดตั้งเทคโนโลยีและยึดมั่นในความยั่งยืน นายกเทศมนตรีกล่าวว่า "แน่นอนว่าการสร้างเมืองตั้งแต่เริ่มต้นในทุ่งโล่งเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการในตอนแรก แต่เรามีความฝัน เรามีเป้าหมาย และเรามุ่งมั่นที่จะทำให้มันเกิดขึ้น"
ความฝันของนิวคาร์โครุมอาจมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมองโกเลีย แต่ความท้าทายของมันก็เป็นที่คุ้นเคยของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่เคยเดินตามเส้นทางนี้มาก่อน
หลายทศวรรษก่อนที่อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โจโก วิโดโด จะประกาศแผนการผลักดัน นูซันตารา เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย ผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศ ซูการ์โน ก็เคยจินตนาการถึงสิ่งที่คล้ายกันนี้ด้วย ซูการ์โนมีความฝันที่จะสร้างเมืองหลวงที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของชาติอินโดนีเซียที่แท้จริง และแก้ปัญหาการกระจุกตัวของอำนาจบนเกาะชวา
เขาพยายามผลักดัน ปาลังการายา (Palangkaraya) เมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกาลิมันตันกลาง ซึ่งอยู่ตรงกลางของแผนที่หมู่เกาะอินโดนีเซียพอดี ซูการ์โนเชื่อว่า การตั้งเมืองหลวงไว้ที่นี่จะช่วยรวมจิตวิญญาณของชาติ และเป็นหลักประกันความยุติธรรมด้านโลจิสติกส์แก่ทุกส่วนของประเทศ
ซูการ์โนได้จัดทำแผนแม่บท (Master Plan) ในการพัฒนาเมืองด้วยตนเอง โดยกำหนดให้เมืองมีแนวคิดสมมาตร และมีการผสมผสานการขนส่งทางแม่น้ำ แถมการก่อสร้างในช่วงแรกได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพโซเวียต เนื่องจากในขณะนั้นซูการ์โนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มประเทศตะวันออก
แม้จะมีความพยายามอย่างยิ่งยวด แต่โครงการย้ายเมืองหลวงไปยังปาลังการายาต้องหยุดชะงักและล้มเหลวในที่สุดด้วยเหตุผลหลักทางการเมืองและเศรษฐกิจ สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่และการพยายามรัฐประหาร ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของอำนาจซูการ์โน
ผู้สืบทอดอำนาจต่อจากซูการ์โนคือ ซูฮาร์โตซึ่งได้สถาปนาระบอบการปกครองใหม่ และ ไม่ต้องการสานต่อแผนการ ย้ายเมืองหลวงไปยังกาลิมันตัน ทำให้จาการ์ตาและเกาะชวากลับมาเป็นศูนย์กลางอีกครั้ง