
นับตั้งแต่การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองชาติคือสิ่งที่เติบโตเคียงคู่กับความสัมพันธ์ทางการทูต ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีโอกาสหลากหลายรอคอยอยู่
ในงาน TME FORUM: THAILAND–SAUDI BRIDGE “VISION 2030” หัวข้อ “โอกาสทางการค้า” ในซาอุดีอาระเบียสำหรับผู้ประกอบการไทยถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง พร้อมแนวทางเฉพาะสำหรับบริบทแบบซาอุฯ ว่า ตลาดต้องการอะไร วิสัยทัศน์ซาอุฯ ก่อนปี 2030 รวมถึงประสบการณ์จากธุรกิจไทยที่เปิดตลาดมาก่อนแล้ว Spotlight สรุปให้ดังนี้
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศขนาดใหญ่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รู้จักกันในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอันดับหนึ่งของโลก และหนึ่งในประเทศผู้นำกลุ่มประเทศอาหรับ และตะวันออกกลาง เป็นสมาชิกของกลุ่ม GCC, OPEC, G20, OIC และอาหรับลีก
ด้านเศรษฐกิจ ซาอุดีอาระเบียเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย ที่รัฐบาลวางไว้ใน 10 อันดับแรก เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง และเป็นประตูไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ไทยและซาอุฯ มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน (อ้างอิงข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศเดือนพฤศจิกายน 2022) อยู่ที่ 8,850.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (286,801 ล้านบาท) เป็นไทยส่งออก 1,535.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (49,748.24 บาท) และนำเข้า 7,315.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (237,053 ล้านบาท)
จากข้อมูลที่ปรากฎจะเห็นว่า ไทยเสียดุลการค้าซาอุฯ อยู่ เนื่องจากไทยนำเข้าน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ ปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืช สินแร่และโลหะอื่น ๆ จำนวนมาก ส่วนสินค้าที่ไทยส่งออกคืออุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากไม้และไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง และส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ
World Economics ประเมิน GDP ของซาอุดีอาระเบียปี 2025 ไว้ถึง 2,782,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 90,150,000 ล้านบาท) แน่นอนว่าน้ำมัน อันเป็นทรัพยากรหลักของประเทศมีส่วนสำคัญในเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย แต่ซาอุฯ ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นต่อไป เพราะประเทศกำลังมุ่งขยายเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายมากกว่าแค่น้ำมัน ด้วยโครงการ Saudi Vision 2030
Saudi Vision 2030 เป็นแผนการยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียที่เขียนขึ้นในปี 2016 เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้ซาอุดีอาระเบีย ที่แต่เคยเมื่อพูดถึงมักมีแต่เรื่องน้ำมันที่คนจดจำ (ข้อมูล IMF ปี 2022 ชี้ว่า 40% ของ GDP และ 75% ของรายได้การคลังประเทศมาจากน้ำมัน) และยังรวมไปถึงการพัฒนาภาคส่วนอื่น ๆ อย่างสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม มีเป้าหมายที่ปี 2030
วิสัยทัศน์ 2030 ของซาอุฯ มี 3 เสาหลักคือ
นุจรี ภักดีเจริญ ผู้อำนวยการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเล่าให้เราฟังถึงแผนการและความสำเร็จของแผนงาน Saudi Vision 2030 กล่าวว่า โครงการแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ:
นุจรีเผยว่า เป้าหมายของ Saudi Vision 2030 สำเร็จไปแล้วกว่า 30% ตัวอย่างความสำเร็จ อาทิ มีนักท่องเที่ยวปีละ 115 ล้านคน, มีสัดส่วนผู้หญิงในตลาดแรงงาน 30%, มีสัดส่วนเศรษฐกิจที่ไม่ใช่น้ำมันเกือบ 60% และมีสำนักงานใหญ่ต่าง ๆ ตั้งอยู่ที่กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุฯ กว่า 675 แห่ง ส่วนที่ยังไม่ถึงเป้าคือ จำนวนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังไม่มากพอ ส่วนนี้เองที่ประเทศไทยจะเข้ามามีบทบาทได้
“ในมุมมองของธนาคารอิสลาม ไม่มีเวลาไหนจะใช่ไปกว่านี้อีกแล้ว [...] เขากระเป๋าตังค์ใหญ่กว่าเรามาก และเขาก็ชอบ Wellness เรามาก”
ไม่ใช่แค่ Wellness เท่านั้นที่สามารถพบโอกาสใหม่ในตลาดซาอุดีอาระเบีย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงริยาด ดามพ์ บุญธรรม กล่าวถึง 15 อุตสาหกรรมที่ซาอุดีอาระเบียต้องการผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมคือ:
ด้านเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรม, อุตสาหกรรมระหว่างประเทศ, อุตสาหกรรมการผลิตชั้นสูง, อุตสาหกรรมโลหะและเหมืองแร่, อุตสาหกรรมปิโตรเคมี, อุตสาหกรรมพลังงาน โดยเน้นย้ำที่พลังงานสะอาด, อุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูปอาหาร, อุตสาหกรรมการบริหารด้านสิ่งแวดล้อม, อุตสาหกรรมการบริการด้านการเงิน, การพัฒนาทุนมนุษย์และนวัตกรรม, การขนส่งและโลจิสติกส์, การท่องเที่ยวและการบันเทิง, ด้านไอทีและดิจิทัล, อสังหาริมทรัพย์, เศรษฐกิจดิจิทัล, และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศตลาดใหม่ และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มีกำลังการซื้อสูง และมีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก แต่ยังมีการลงทุนจากต่างประเทศไม่สูง และมีโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าไปลงทุน ทูตดามพ์เล่าถึงการทำงานของสถานเอกอัครราชทูตไทยในด้านการปูทางรับการลงทุนเอาไว้ว่า
“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไทยและซาอุฯ ได้ขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม มีการจัดตั้งกลไกทวิภาคีร่วมกันชื่อว่า สภาความร่วมมือซาอุฯ-ไทย” ทูตฯ กล่าว และชี้ว่าสภาดังกล่าวได้มีความเห็นชอบยกระดับความสัมพันธ์สองชาติยิ่งขึ้นอีก
ทูตดามพ์แนะนำภาคธุรกิจไทยที่จะมาลงทุนในซาอุฯ ว่า ทางหนึ่งที่จะช่วยธุรกิจของพวกเขาให้เติบโตในซาอุดีอาระเบียคือ การเรียนรู้และร่วมมือกับผู้ประกอบการที่มาเปิดตลาดก่อนแล้ว
“มีความร่วมมือภาคเอกชนไทยในซาอุดีอาระเบีย ผมพยายามผลักดันให้มีการจัดตั้งสมาคมนักธุรกิจไทยในซาอุดีอาระเบีย โดยมีผู้ประกอบการไทยในแต่ละสาขามาเจอกัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยที่เข้ามาใหม่ให้เข้าสู่ตลาดด้วย”
หนึ่งในบริษัทแกนนำที่มาเปิดธุรกิจแล้วคือ SCG หรือบริษัทปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งมีบริการหลากหลายในซาอุฯ ตอบสนองเมืองที่เติบโตขึ้น และต้องการอุปกรณ์วัสดุสำหรับก่อสร้าง และยังมีบริษัทแกนนำด้านยานยนต์อย่าง Future Parts Industry บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ยานยนต์ที่มีโรงงานอยู่ทางใต้ของซาอุฯ ด้วย
ในงานเสวนามีตัวแทนจากบริษัทต่าง ๆ ที่พร้อมเป็นสะพานให้การลงทุนเข้าร่วม อาทิ SCG ที่กล่าวว่าพร้อมแบ่งปันประสบการณ์ มีทีมงานที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น สามารถช่วยเรื่องการส่งออกสินค้า และทำความเข้าใจตลาดที่มีความผันผวน, ตัวแทนจากบริษัท รวมไปถึงบริษัทอย่าง Eka และ Bitkub ด้วยเช่นกัน
ข้อหนึ่งที่หลายฝ่ายเน้นย้ำคือ ต้องทำความเข้าใจบริบทอันเป็นเอกลักษณ์ของซาอุดีอาระเบียให้ดี ส่วนนี้สถาบัน TME (Thai -Middle East Entrepreneurs) เปิดหลักสูตรผู้บริหารเตรียมพร้อมผู้ประกอบการไทย ให้สามารถลงทุนในตะวันออกกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักสูตรนี้ออกแบบจากความร่วมมือของสถาบันการค้าไทย-ตะวันออกกลาง และหน่วยงานพันธมิตร ได้รับการรับรองจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกำกับมาตรฐานโดยกระทรวงการลงทุนแห่งราชอาณาจักรแห่งซาอุดีอาระเบีย ทำให้เป็นหลักสูตรที่ไม่ใช่แค่เข้าใจตลาด แต่เข้าใจมิติทางวัฒนธรรม ศาสนา และสังคมของตะวันออกกลาง เข้าใจกำลังซื้อ ทัศนคติผู้บริโภค และนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน
ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการสถาบัน TME อธิบายหลักสูตร 3 แบบที่ออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ประกอบการทุกแบบ ประกอบด้วย:
หลักสูตรเริ่มเปิดสอนครั้งแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จำกัดเพียง 30 คนต่อรุ่น มีความยาว 12 สัปดาห์ (สิ้นสุดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2026) มีการศึกษาดูงานจริงเพื่อสร้างความเข้าใจอีกขั้นที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย หรือประเทศอื่น ผู้เข้าร่วมจะได้ประกาศนียบัตร เครือข่ายธุรกิจ และโอกาสต่อยอดการลงทุนจริงอีกด้วย
ดร.ศราวุฒิกล่าวถึงสิทธิประโยชน์ที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับ นอกจากความรู้คือการร่วมงานกับหน่วยงานของซาอุดีฯ อย่างใกล้ชิด
“ภายใต้แนวคิด ‘from connections to empowerment’ เราไม่ได้เป็นเพียงการสร้างการเชื่อมโยง แต่เรายังสร้างพลังให้ธุรกิจไทยเติบโตได้จริง ผ่านความร่วมมือใกล้ชิดกับภาคธุรกิจชั้นนำของซาอุดีอาระเบีย หน่วยงานกำกับด้านการลงทุน และหน่วยงานเศรษฐกิจทั้งในซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศ GCC” ดร.ศราวุฒิกล่าว
ต้องยอมรับว่าการเป็นคนใกล้ชิด มีอัตลักษณ์ร่วมทำให้คนเราเปิดใจต่อกันง่ายกว่า เข้าใจกันมากกว่า และในที่นี้ การมีอัตลักษณ์ “อิสลาม” หรือการเป็นมุสลิมก็ทำให้เป็นการง่ายกว่าในการเปิดเข้าตลาดประเทศซาอุดีอาระเบีย
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นองค์กรหนึ่งที่ยินดีเป็นสะพานให้นักธุรกิจไทยเข้าไปทำธุรกิจกับซาอุฯ ง่ายมากขึ้น
คุณนุจรีจากธนาคารอิสลามยกตัวอย่างบริการที่ผู้ประกอบการจะได้อาทิ ทำธุรกรรมเงินบาท-ซาร์ (Saudi Arabia Riyal) ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มความผันผวน, ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการนำเข้า-ส่งออก, สามารถยื่นขอตราฮาลาลได้แบบ fast track, ประเมินความเสี่ยงตลาดให้, และนอกจากนี้ ยังยืนยันว่า การทำงานผ่านตัวกลางที่เป็นมุสลิมจะช่วยเพิ่มความไว้ใจ (อันเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจกับคนซาอุ) ได้มากกว่า ทั้งต่อคู่ค้า หน่วยงานรัฐบาล และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ