Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
จีน vs สหรัฐฯ: ศึกการเงินใหม่ Bitcoin/Stablecoin ชน Gold/CBDC
โดย : นเรศ เหล่าพรรณราย

จีน vs สหรัฐฯ: ศึกการเงินใหม่ Bitcoin/Stablecoin ชน Gold/CBDC

16 พ.ย. 68
09:00 น.
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

📌 สรุปเนื้อหา (Conclusion)

สงครามการเงินครั้งใหม่นี้ สหรัฐฯ และจีน ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ การครองความเป็นผู้นำในระบบการเงินโลกใหม่ แม้จะมีแนวทางที่ต่างกันอย่างชัดเจน:

  • ฝั่งสหรัฐฯ: ใช้ Stablecoin (ที่หนุนด้วยดอลลาร์) และ Bitcoin เพื่อรักษาอิทธิพลของเงินดอลลาร์ในเวทีโลก และใช้แก้ปัญหาหนี้สาธารณะ
  • ฝั่งจีน: ใช้ CBDC (หยวนดิจิทัล) และการสะสม ทองคำ เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์และสร้างขั้วอำนาจใหม่

บทวิเคราะห์ชี้ว่า ผลลัพธ์คือการขยายตัวของการใช้งานทั้ง Stablecoin และ CBDC ในอนาคต ขณะที่ Bitcoin และ ทองคำ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในเกมนี้ มีโอกาสที่มูลค่าจะเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดครับ

สหรัฐฯกับจีนเปิดสงครามระบบการเงินใหม่ Bitcoin + Stablecoin vs Gold + CBDC แล้วใครจะเป็นผู้ชนะ

กฎหมาย GENIUS Act ที่โดนัลด์ทรัมป์เปิดตัวออกมาทำให้ระบบการเงินโลกมีโอกาสที่จะเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านสำคัญผ่านการใช้งาน Stablecoin แต่อีกด้านหนึ่งประเทศจีนได้ปิดรับแนวคิดนี้และหันไปชูเทคโนโลยี CBDC หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาล ถือเป็นสองแนวคิดใหม่ที่ต่างกันเกือบสิ้นเชิงแต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือครองความเป็นผู้นำในระบบการเงินโลกใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น

แนวคิดของ Stablecoin คือการที่ภาครัฐอนุญาตให้เอกชนไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน ธุรกิจเอกชน สามารถมาขอใบอนุญาตในการออก Stablecoin ที่มีสกุลเงินดอลลาร์หนุนหลังได้ โดยภาครัฐเพียงแค่กำกับดูแล 

แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศชัดเจนว่าสหรัฐฯต้องขึ้นมาเป็นเมืองหลวงของโลกคริปโตผ่านกฎหมาย GENIUS Act แต่เหตุผลหลักที่สหรัฐฯชูนโยบายดังกล่าวตลอดสนับสนุนการลงทุนและถือครองบิทคอยน์นั่นก็เพื่อต้องการรักษาความต้องการสกุลเงินดอลลาร์ในระดับโลกไว้นั้นเอง

มีตัวเลขที่แสดงชัดเจนว่าสัดส่วนของสกุลเงินดอลลาร์ในระดับบการเงินโลกรวมถึงการใช้เป็นทุนสำรองของะนาคารกลางประเทศต่างๆได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องหลังการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศ BRICS ที่นำโดยประเทศจีนเพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ลงเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตลอดจนความมั่นคง

การที่สหรัฐฯหันมาชูนโยบาย Stablecoin ซึ่งเดิมมีสกุลเงินดอลลาร์หนุนหลังในสัดส่วน 90% ของการใช้งานทั้งหมดอยู่แล้วจึงเป็นการเพิ่มดีมานด์ของสกุลเงินดอลลาร์ในตลาดโลกให้ยังคงอยู่ต่อไป เนื่องจากถ้าหากตลาดคริปโตเติบโตขึ้นความต้องการ Stablecoin ในการเป็นคู่ซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง 

หรืออีกด้านหนึ่งการที่สามารถสร้าง Stablecoin ได้โดยมีกฎหมายรับรองก็จะมีส่วนผลักดันให้ตลาดคริปโตเติบโตขึ้นได้อีกด้วยเช่นกัน เป็นที่มาของนโยบายการตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์เชิงยุทธ์ศาสตร์ที่สหรัฐฯต้องถือครองบิทคอยน์ให้ได้ 1 ล้าน BTC 

ตลอดจนนโยบายการส่งเสริมการใช้งาน Real World Asset หรือการนำสินทรัพย์ในโลกการเงินเดิมอย่างเช่นพันธบัตร กองทุนรวมตลอดจนหุ้นมาอยู่บนบล็อกเชนและการส่งเสริมระบบการเงินไร้ตัวกลาง (DeFi) ซึ่งจะสนับสนุนให้มีการใช้งาน Stablecoin มากขึ้นสำหรับใช้ในธุรกรรม 

ขณะที่สหรัฐฯเองยังมีภาระหนี้สาธารณะกว่า 37 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 100% ของจีดีพี การที่เปิดให้สามารถนำ Stablecoin มาใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯได้จากทั่วโลกโดยใช้จำนวนเงินไม่มากนัก จะเป็นการเพิ่มดีมานด์ของเงินดอลลาร์ไปในตัวซึ่งจะทำให้บทบาทในระบบการเงินโลกยังคงอยู่และยังสามารถต่ออายุหนี้สาธารณะของตัวเองออกไปได้อีกจากการที่ยังขายพันธบัตรรัฐบาลและมีคนมารับซื้อต่อ 

ตลอดจนการถือครองบิทคอยน์ในกองทุนสำรองเชิงยุทธ์ศาสตร์ ถ้าหากมีมูลค่าที่สูงขึ้นก็อาจจะนำไปใช้ในการลดมูลหนี้สาธารณะลงไปได้ด้วยเช่นกัน จึงกล่าวได้ว่าการส่งเสริมคริปโตและ Stablecoin เป็นแผนที่สหรัฐฯวางไว้เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในระบบการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ผ่านระบบการเงินใหม่ที่จัดตั้งขึ้น

แต่ขณะที่จีนมีนโยบายที่ตรงข้ามจากการปิดกั้นเทคโนโลยี Stablecoin จากรัฐบาลปักกิ่ง แม้ที่ฮ่องกงจะมีนโยบายเปิดรับ Stablecoin ก็ตาม แต่ยังคงส่งเสริมการใช้งานหยวนดิจิทัลซึ่งพัฒนาโดยธนาคารกลางของจีนเองและยังนำไปใช้กับการค้าขายในกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Initiative) อีกด้วย

รวมถึงการที่จีนเร่งขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและถือครองทองคำอย่างต่อเนื่องก็ถือเป็นแผนการที่จะลดการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโดยเฉพาะการใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้

เห็นได้ว่าชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีนกำลังดำเนินนโยบายในการสร้างระบบการเงินใหม่ขึ้นโดยมีแนวทางต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือสร้างบทบาทของตัวเองในระบบการเงินโลกขึ้นมา เราจึงมีโอกาสได้เห็นการขยายตัวของการใช้งาน Stablecoin รวมถึง Yuan CBDC ในอนาคตหลังจากนี้

รวมถึงราคาบิทคอยน์และทองคำที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญของระบบการเงินใหม่นี้ที่จะมีดอกาสเพิ่มมูลค่าขึ้นด้วยเช่นกัน เราในฐานะนักลงทุนจึงควรติดตามย่างก้าวสำคัญของระบบการเงินโลกนี้อย่างใกล้ชิด

ปล.บทความนี้เป็นการนำข้อมูลข้อเท็จจริงมาวิเคราะห์ต่อในมุมมองส่วนตัว ผลที่จะตามมาในอนาคตอาจไม่เป็นดังที่เขียนไว้เสมอไปจึงควรใช้วิจารณญาณในการอ่านรวมถึงการลงทุน
นเรศเหล่าพรรณราย Founder Ricco,นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

นเรศ เหล่าพรรณราย

นเรศ เหล่าพรรณราย

Founder Ricco และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

แชร์
จีน vs สหรัฐฯ: ศึกการเงินใหม่ Bitcoin/Stablecoin ชน Gold/CBDC