
ราคาทองคำเดือนตุลาคม 2025 (วันที่ 1-23 ตุลาคม) ยังคงมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง แม้จะถูกขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง แต่หากพิจารณาในรายเดือนนั้นราคายังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก เนื่องจาก ณ สิ้นวันที่ 23 ตุลาคม ราคาทองคำอยู่ที่ระดับ 4,126 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 268 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (+6.95%) หลังจากเดือนกันยายน ราคาปรับตัวขึ้นถึง 412 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (+11.94%) ส่งผลให้ในปีนี้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือกว่า 57% YTD
ในช่วงที่ผ่านมาทองคำได้รับปัจจัยหนุนอยู่หลายประการ โดยเฉพาะแกนหลักจากนโยบายการเงินของ FED ที่มีแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยขาลงอย่างชัดเจน ประกอบกับเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม “เจอโรม พาวเวล” ประธาน FED ส่งสัญญาณยุติการใช้นโยบายคุมเข้มเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Tightening (QT) ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่ง FED มีกำหนดการประชุมครั้งถัดไปในคืนวันที่ 29 ตุลาคม
นอกจากนื้ การปรับตัวขึ้นของทองคำด้วยอัตราเร่งที่สูงขึ้นอย่างรุนแรงนั้น มาจากแรงซื้อในฐานะ Safe Haven Asset ด้วยสาเหตุ ดังนี้
นับตั้งแต่ปี 1981 สหรัฐเผชิญกับการ Shutdown มาแล้ว 15 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียง 1–2 วันเท่านั้น แต่ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในสมัยของ “โดนัลด์ ทรัมป์” (ธันวาคม 2018 – มกราคม 2019) เกิดขึ้นถึง 35 วัน ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และในครั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม จนถึง ณ ปัจจุบัน นั้นได้เข้าสู่สัปดาห์ที่สี่ของการปิดหน่วยงานรัฐบาล
โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากจีนที่ยกเลิกการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐ ซึ่งศุลกากรจีน เปิดเผยว่ายอดนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐ ในเดือนกันยายน ดิ่งลงเป็น “ศูนย์” ครั้งแรกในรอบ 7 ปี จากที่เคยสูงถึง 1.7 ล้านเมตริกตัน ซึ่งแสดงถึงการลดการพึ่งพาสหรัฐ และหันไปนำเข้าจาก บราซิลและอาร์เจนตินาแทน สะท้อนจากยอดนำเข้าที่พุ่งทะยานขึ้น 29.9% และ 91.5% ตามลำดับ
นอกจากนี้ จีนยังเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) ซึ่งมีความจำเป็นต่อสหรัฐค่อนข้างมาก โดยข้อจำกัดที่มีนัยสำคัญ คือ “สินค้าใดๆ ที่ผลิตนอกจีน แต่มีส่วนประกอบของ Rare Earths เกิน 0.1% ของมูลค่า จะถูกควบคุมและต้องขอใบอนุญาต (License)” ในเวลาต่อมา “ทรัมป์” จึงตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน
หลังเกิดความกังวลของธนาคารภูมิภาคสหรัฐ ตั้งหนี้สูญจากเงินกู้ที่ผิดนัดชำระ “เจมี ไดมอน” CEO ของ JPMorgan ได้ออกมาเปรียบเทียบปัญหา Auto-loan Credit กับ "ทฤษฎีแมลงสาบ (Cockroach Theory)" คือ "เมื่อเห็นแมลงสาบหนึ่งตัว มัน
ก็มักจะมีตัวอื่นอีก" ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า ปัญหาหนี้เสียในสินเชื่อรถยนต์อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤตสินเชื่อครั้งใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่
อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สี่ของเดือนตุลาคม ความเสี่ยงในหลายด้านเริ่มถูกทำให้ผ่อนคลายลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Government Shutdown หลังนายเควิน แฮสเซ็ตต์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจทำเนียบขาว กล่าวว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลอาจสิ้นสุดลงสัปดาห์นี้ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ หลังนางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “สี จิ้นผิง” จะพบกันในวันที่ 30 ต.ค. นอกรอบประชุม APEC รวมไปถึง นายมาร์ก ปินโต หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ สถาบันจัดอันดับ มูดี้ส์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า แมลงสาบตัวเดียวไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นแนวโน้ม แม้มีความกังวลเกี่ยวกับหนี้เสีย แต่ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ถึงปัญหาในเชิงระบบ
สิ้นเดือนตุลาคมนี้ จึงเป็นช่วงที่จะเกิดจุดเปลี่ยนในหลายประเด็นข้างต้น ซึ่งจะสร้างความผันผวนอย่างมากต่อสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะทองคำที่เคยตอบสนองเชิงบวกขึ้นมาอย่างรุนแรงในฐานะ Safe Haven Asset ในช่วงก่อนหน้านี้ ดังนั้น จะต้องจับตาแรงขายทำกำไรดังกล่าวว่าจะจบลงเมื่อใด และเมื่อตลาดกลับมาให้ความสนใจเรื่องนโยบายการเงินของ FED ทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง และการยุติการทำ QT มาเป็นปัจจัยที่มีนัยสำคัญอันดับหนึ่ง ทองคำก็จะสามารถกลับมาสร้างฐานเพื่อปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด