Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ธปท.แจง‘เงินลึกลับ’อาจโยงเงินเทา แต่ทองทำบาทแข็ง มุ่งดันใช้ดอลลาร์เทรด
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ธปท.แจง‘เงินลึกลับ’อาจโยงเงินเทา แต่ทองทำบาทแข็ง มุ่งดันใช้ดอลลาร์เทรด

23 ก.ย. 68
16:07 น.
แชร์

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาคเศรษฐกิจการเงินไทยมีการแสดงความคิดเห็นและตั้งข้อสังเกตกันอย่างกว้างขวาง เมื่อปรากฏตัวเลข “เงินลึกลับ” หรือ Net Errors and Omissions (NEO) ในดุลการชำระเงินของประเทศสูงผิดปกติ จนหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วเงินจำนวนนี้มาจากไหน และเกี่ยวข้องกับธุรกรรมผิดกฎหมายหรือไม่ ความสงสัยยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค จนถูกโยงเข้ากับการตีความว่า “เงินลึกลับ” อาจเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ค่าเงินไทยแข็งตัวเกินพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงออกมาอธิบายอย่างละเอียดเพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิด โดยชี้ว่า NEO ไม่ใช่เงินใหม่ที่เพิ่งไหลเข้าสู่ระบบการเงิน แต่เป็นเพียงผลจากความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของการเก็บข้อมูลธุรกรรม โดยแม้ข้อมูลบางประเภท เช่น การส่งออกและนำเข้า สามารถตรวจสอบได้ทันที แต่ข้อมูลบางประเภท เช่น การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว หรือธุรกรรมผ่านคริปโตเคอร์เรนซี่ ยังคงยากต่อการบันทึก ทำให้ต้องจัดไว้ในหมวด “เงินลึกลับ” จนกว่าจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนว่าจำนวนเงินไม่รู้ที่มาที่ไปนั้นเกิดจากการทำธุรกรรมแบบใดกันแน่

นอกจากนี้ ธปท. ยังเน้นย้ำว่าการแข็งค่าของเงินบาทในปีนี้เกิดจากปัจจัยจริงที่สามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นกว่า 40% ประกอบกับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและเสถียรภาพทางการเมืองไทยที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ทั้งหมดนี้เป็นตัวแปรที่ผลักดันให้เงินบาทแข็งกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค และทำให้ทองคำกลายเป็นตัวขยายความผันผวนของค่าเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่ NEO ที่สะท้อนเพียงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติในปี 2567 ซึ่งไม่มีทางส่งผลต่อค่าเงินบาทในปี 2568 ได้

ธปท. เคลียร์ปม “เงินลึกลับ” ชี้ NEO แค่ตัวเลขสถิติ ไม่ใช่เงินใหม่กดค่าเงิน

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. อธิบายถึงประเด็นตัวเลข NEO หรือที่เรียกกันว่า “เงินลึกลับ” ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเงินที่ไหลเข้าออกอย่างไม่มีที่มา แต่เป็นเพียง “ความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ” ในดุลการชำระเงิน ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดของการเก็บและจำแนกข้อมูลธุรกรรม เช่น กรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แลกเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ระบบสามารถบันทึกได้เพียงขั้นตอนการแลกเงิน แต่ไม่สามารถติดตามได้ว่าเงินนั้นถูกนำไปใช้จ่ายเป็นค่าโรงแรม ค่าอาหาร การท่องเที่ยว หรือการรักษาพยาบาล ซึ่งทำให้ต้องบันทึกการทำธุรกรรมและกระแสเงินเหล่านั้นเป็น NEO ส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องประมาณการจาก model ก่อนที่จะสอบทานกับข้อมูลการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากความล่าช้าของข้อมูล เช่น ข้อมูลการลงทุนโดยตรง (FDI) หรือการส่งกลับกำไรของบริษัทต่างชาติ ที่ต้องรออ้างอิงจากงบการเงินที่รายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

นางสาวชญาวดี กล่าวเสริมว่า ดุลการชำระเงินของไทยถูกจัดทำบนฐานข้อมูลธุรกรรมระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติในลักษณะ resident-basis จึงมีทั้งธุรกรรมที่เห็นชัดเจน เช่น การส่งออก การนำเข้า หรือการลงทุนโดยตรง แต่ก็มีธุรกรรมที่ยังเก็บข้อมูลไม่ครบ หรือไม่สามารถเก็บได้ในทางปฏิบัติ ส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศ ไม่ใช่ลักษณะพิเศษของไทยเพียงประเทศเดียว

นอกจากนี้ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ธปท. จะมีการเผยแพร่และปรับปรุงข้อมูลปีละ 2 รอบใหญ่ โดยรอบแรกคือการเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นในเดือนมีนาคม และรอบที่สองคือการปรับปรุงข้อมูลในเดือนกันยายน โดยในข้อมูลดุลการชำระเงินของไทยสำหรับปี 2567 ฉบับปรับปรุงที่ธปท. กำลังจะเผยแพร่อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 กันยายนนี้ ตัวเลข NEO ถูกปรับลดลงจาก 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 7.3 พันล้านดอลลาร์ หรือจากประมาณ 4.7 แสนล้านบาท เหลือ 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งจากข้อมูลเดิมที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 

นางสาวชญาวดี กล่าวว่า การปรับลดตัวเลขดังกล่าวมาจากปัจจัยหลัก 3 ส่วน ได้แก่ (1) การปรับราคานำเข้าน้ำมันตามข้อมูลใหม่ของกรมศุลกากร ซึ่งราคาจริงต่ำกว่าที่ใช้ประมาณการไว้เดิม ทำให้ดุลการค้าและบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น และช่วยอธิบายธุรกรรมได้เพิ่มอีกกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ (2) การปรับข้อมูลการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่เมื่อเทียบกับงบการเงินที่นักลงทุนต่างชาติรายงาน พบว่ามีการลงทุนสูงกว่าที่ประมาณการไว้ ส่งผลให้อธิบายที่มาของตัวเลขได้เพิ่มขึ้น 2.7 พันล้านดอลลาร์ และ (3) การปรับข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมเจ้าหนี้การค้าที่ขยายระยะเวลาชำระเงินออกไปมากกว่าที่เคยประมาณ ส่งผลให้ธุรกรรมที่เคยมองไม่เห็นสามารถอธิบายได้มากขึ้นกว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีการปรับเล็กน้อยจากรายการอื่น ๆ ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ รวมแล้วทำให้ NEO ลดลงเหลือ 7.3 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม แม้หลังการปรับปรุงตัวเลข NEO จะลดลงหลายฝ่ายอาจตั้งคำถามว่า แม้ตัวเลขจะลดลงแล้ว แต่ยอด 7.3 พันล้านดอลลาร์ยังสูงเกินไปหรือไม่ สำหรับกรณีนี้นางสาวชญาวดีอธิบายว่า การประเมินระดับความเหมาะสมของ NEO ไม่ควรมองจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณา “สัดส่วน” เมื่อเปรียบเทียบกับความเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ โดยข้อมูลย้อนหลัง 10 ปีจนถึงปี 2566 พบว่า NEO ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3% ต่อมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 2.4% และหลังการปรับล่าสุดในปี 2567 สัดส่วนของไทยลดลงเหลือเพียง 1.0% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก อดีตของไทยเอง รวมถึงประเทศเอเชียรายได้ใกล้เคียง

สำหรับคำถามว่าทำไมตัวเลข NEO ของไทยดูสูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย สาเหตุหลักมาจาก “วิธีการจัดเก็บข้อมูล” ของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เช่น บางประเทศใช้การสำรวจเป็นหลัก (survey-based) อย่างสิงคโปร์ ขณะที่ไทยใช้รูปแบบผสมผสาน ทั้งข้อมูลจากการสำรวจ ข้อมูลจากหน่วยงานราชการ รายงานโดยตรงจากธนาคารพาณิชย์ และข้อมูลอื่น ๆ ทำให้รูปแบบและโครงสร้างของข้อมูลแตกต่างกัน

เมื่อข้อมูลถูกบันทึกด้วยมาตรฐานที่ต่างกัน ย่อมเกิดความไม่สอดคล้องหรือคลาดเคลื่อนได้ในบางจุด ซึ่งอาจทำให้ตัวเลข NEO ของแต่ละประเทศเปรียบเทียบกันโดยตรงไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นความแตกต่างจึงไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึง “ปัญหาที่แท้จริง” ของเศรษฐกิจไทย แต่เป็นผลลัพธ์ของวิธีการเก็บและรายงานข้อมูลที่ไม่เหมือนกันมากกว่า

นอกจากนี้ นางสาวชญาวดียังย้ำเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ตัวเลข NEO ไม่ใช่เงินใหม่ที่เพิ่งไหลเข้ามาในปี 2568 และไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าในปัจจุบัน ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ NEO เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 2567 และมีผลต่อค่าเงินบาทไปแล้วในช่วงเวลานั้น การที่ถูกจัดอยู่ในหมวด NEO เป็นเพียงผลจากการแจกแจงไม่ครบถ้วน ไม่ใช่เงินเพิ่มใหม่ที่จะมากดดันค่าเงินในปีนี้ เธอชี้ให้เห็นว่า แม้ปีที่แล้วตัวเลข NEO จะสูง แต่เงินบาทแข็งค่าเพียง 0.1% ซึ่งแตกต่างจากสภาวะในปัจจุบันอย่างชัดเจน

โฆษก ธปท. สรุปว่า NEO เป็นเรื่องของ “ความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ” ที่พบได้ในทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและมีธุรกรรมระหว่างประเทศจำนวนมาก ธปท. ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเลขสูงผิดปกติ แต่กำลังศึกษาเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงวิธีการเก็บข้อมูลและการประมาณการให้แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของการท่องเที่ยว การลงทุน และพฤติกรรมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้การประเมินดุลการชำระเงินและค่า NEO มีความโปร่งใสและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นในอนาคต

เงินเทากับ NEO สิ่งที่ควรแยกให้ออก

นอกจากนี้ แม้ตัวเลข NEO ของไทยยังอยู่ในระดับสูง แต่ ธปท. ย้ำว่าไม่ควรเหมารวมว่า NEO เป็น “เงินเทา” ทั้งหมด เพราะ NEO เป็นเพียงตัวสะท้อนธุรกรรมที่ยังจัดประเภทไม่ชัดเจน หลายกรณีเป็นเพียงธุรกรรมที่ตกหล่นจากการบันทึก เช่น นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้ออาหารริมทาง เงินดังกล่าวก็อาจไม่ถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน ทั้งที่เป็นธุรกรรมปกติและไม่เกี่ยวข้องกับเงินผิดกฎหมาย

ในทางกลับกัน ธุรกรรมสีเทาสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในรายการที่บันทึกไว้และที่ตกหล่น เช่น บริษัทต่างชาติที่มีกรรมการบางรายเกี่ยวพันกับธุรกิจสีเทา หากนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย เงินก็ถูกบันทึกเป็น Portfolio Investment อย่างถูกต้อง แต่ความไม่โปร่งใสยังคงแฝงอยู่ หรือกรณีมิจฉาชีพนำเงินสดจากการหลอกลวงไปซื้อทองคำตามร้านขนาดเล็กที่ระบบ KYC ไม่เข้มงวด ทองคำเหล่านี้สามารถลักลอบส่งออกได้ แม้ในเชิงทฤษฎีตรวจสอบได้ แต่ในทางปฏิบัติยังมีช่องโหว่ ขณะที่ธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเฉพาะที่ทำผ่านกระเป๋าส่วนตัว (Private Wallet) ยิ่งยากต่อการติดตาม ปลายทางอาจเห็นเป็นการซื้อคอนโด แต่ไม่สามารถระบุที่มาของเงินต้นได้

สำหรับขอบข่ายของการกำกับดูแล ในปัจจุบัน ธปท. ยอมรับว่าธปท.ยังไม่สามารถตรวจสอบธุรกรรมการเงินได้ทั้งหมด เพราะข้อมูลที่ ธปท. เห็นและสามารถตรวจสอบได้โดยตรงมีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราที่ทำผ่านผู้ให้บริการที่อยู่ภายใต้กำกับ เช่น สถาบันการเงินหรือร้านทอง ซึ่ง ธปท. สามารถตรวจสอบได้ไม่ว่าธุรกรรมนั้นจะมีวัตถุประสงค์ใด หากมีการนำเงินบาทไปแลกดอลลาร์ ธปท. ก็จะเห็นทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากมีการเคลื่อนย้ายทองคำผ่านช่องทางที่ไม่ถูกต้อง ธปท. ก็ยอมรับว่าจำเป็นต้องพึ่งพาการตรวจสอบเชิงลึกของหน่วยงานอื่น เช่นเดียวกับธุรกรรมคริปโตที่ ธปท. มีข้อมูลการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินเฉพาะที่ระบุวัตถุประสงค์เพื่อซื้อ-ขาย cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา จึงจำเป็นต้องนำข้อมูลการซื้อขาย cryptocurrency ที่รายงานต่อสำนักงาน ก.ล.ต. มาประกอบด้วย เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล และสอบทานความถูกต้องได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ธปท. ยังเน้นว่าความ “เทา” ไม่จำเป็นต้องสะท้อนผ่านดุลการชำระเงินเพียงอย่างเดียว แต่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน และหากปล่อยไว้ก็อาจขยายตัวได้ จึงต้องใช้มาตรการหลายด้านในการป้องกัน ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนการใช้ดิจิทัลในภาคการเงิน เช่น พร้อมเพย์ เพื่อให้การทำธุรกรรมมี digital footprints และสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ การออกหลักเกณฑ์การรู้จักลูกค้า ได้แก่ Know Your Customer (KYC) Customer Due Diligence (CDD) และ Enhanced Due Diligence (EDD) การออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาบัญชีม้า รวมถึงการกำกับดูแลให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ AML/CFT ของสำนักงาน ปปง. อย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ธปท. ยังจับตาความเสี่ยงจากนโยบายที่อาจเปิดช่องธุรกรรมทุจริต เช่น แผนผลักดันไทยเป็น Financial Hub ที่แม้มีศักยภาพ แต่หากกฎเกณฑ์ผ่อนคลายเกินไปก็อาจถูกใช้เป็นช่องทางแสวงหาประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย ในด้านคริปโต ธปท. มีท่าทีระมัดระวังต่อการนำมาใช้ชำระเงินหรือทำธุรกรรมการเงิน เนื่องจากเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงินและยากต่อการติดตาม จึงต้องทำงานประสานกับ ก.ล.ต. อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การรายงานธุรกรรมดิจิทัลมีความสมบูรณ์มากขึ้น

เพื่อให้การกำกับมีประสิทธิภาพ ธปท. ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (task force) เพื่อติดตามพัฒนาการของธุรกรรมในหลากหลายมิติ รวมทั้งนำข้อมูลไปใช้ในการออกแบบนโยบาย และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. สศช. เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการติดตามธุรกรรมต่าง ๆ รวมทั้งประสานกับหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบ เช่น สำนักงาน ปปง. เมื่อมีธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดธุรกรรมสีเทา

สุดท้าย นางสาวชญาวดี ย้ำว่า NEO ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ธุรกรรมผิดกฎหมาย แต่เป็นผลจากข้อจำกัดของการเก็บข้อมูลเชิงสถิติ ซึ่งพบได้ในทุกตัวชี้วัด เช่น GDP ก็มีค่า NEO เช่นกัน การจัดทำดุลการชำระเงินต้องอ้างอิงคู่มือ IMF ที่มีรายละเอียดมากกว่า 370 หน้า และต้องกรอกข้อมูลหลายร้อยรายการ การเก็บข้อมูลทุกเม็ดจึงแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ธปท. จึงพยายามตรวจสอบอย่างต่อเนื่องว่า NEO เพิ่มขึ้นเพราะสาเหตุใด เป็นข้อมูลที่รอการปรับแก้ (revise) หรือสะท้อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจริง เพื่อปรับปรุงวิธีการวัดและเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูลในระยะยาว

เปิดสาเหตุทำไมบาทแข็ง และมาตรการเบรกความผันผวนจากทองคำ

สำหรับปัจจัยที่แท้จริงที่ทำให้เงินบาทแข็งค่านำหน้าประเทศอื่นในภูมิภาค นางสาวภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. อธิบายว่า การแข็งค่าของเงินบาทในปีนี้ไม่ได้มาจาก net errors and omissions อย่างที่หลายฝ่ายกังวล แต่เกิดจากทั้งปัจจัยฝั่งดอลลาร์และฝั่งเงินบาทเอง โดยที่สำคัญที่สุดคือการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเกือบ 10% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะหยุดเข้มงวดด้านนโยบายการเงิน ทำให้สกุลเงินภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับแข็งค่าขึ้นตามมา อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังเงินบาทแข็งกว่าสกุลอื่นจริง เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะของไทยที่หนุนแรงขึ้น

นางสาวภาวิณี อธิบายว่า ปัจจัยเฉพาะตัวที่ทำให้เงินบาทแข็งมากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาคประกอบด้วยสามส่วนหลัก ได้แก่ (1) ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (2) เสถียรภาพทางการเมืองที่คลี่คลายเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ (3) ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งกระทบค่าเงินบาทโดยตรงจากพฤติกรรมของผู้ลงทุนไทยที่นิยมลงทุนในทองคำ

ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา ทองคำจึงกลายเป็น “ตัวเร่ง” หรือ amplifier ของความผันผวน เมื่อราคาทองสูง นักลงทุนขายทำกำไรและส่งออกทองไปต่างประเทศ รับดอลลาร์กลับมาแล้วแลกเป็นเงินบาท ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นทันที ตรงกันข้าม เมื่อราคาทองลดลง นักลงทุนไทยก็หันไปซื้อทอง ส่งผลให้เงินบาทอ่อนกว่าคู่แข่งในภูมิภาค การเคลื่อนไหวของทองคำจึงไม่ได้เพียงแค่กดดันค่าเงิน แต่ยังเพิ่มความผันผวนของเงินบาทในทั้งสองทิศทาง

อีกมิติที่สำคัญคือเรื่อง “timing” ของกระแสเงิน (flow) ซึ่งแม้ขนาดโฟลว์สุทธิ (net flow) จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากโฟลว์ฝั่งแข็งค่าเข้ามาในช่วงที่สภาพคล่องของตลาดบางตา เช่น ในเวลากลางคืน ก็อาจกดดันเงินบาทให้แข็งขึ้นแรงกว่าปกติ ในทางกลับกัน หากเป็นโฟลว์ฝั่งอ่อนค่าเกิดขึ้นในช่วงที่สภาพคล่องหนาแน่น ผลกระทบต่อค่าเงินก็อาจน้อยกว่า ปัจจัยด้านสภาพคล่องนี้สะท้อนว่าขนาดของโฟลว์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายแรงกดดันต่อค่าเงินได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังสามารถเคลื่อนไหวได้จากการ “เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์” ของผู้เล่นในตลาด แม้ยังไม่มีธุรกรรมจริงขนาดใหญ่เกิดขึ้น เปรียบเหมือนราคาหุ้นที่สามารถปรับขึ้นลงได้ทันทีเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับราคาน้ำมันหรือแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและราคาทองคำชัดเจนขึ้น ทำให้เกิดธุรกรรมลักษณะ correlation trade ที่ผู้เล่นในตลาดเข้ามาซื้อขายเงินบาทตามทิศทางราคาทองคำ ยิ่งซ้ำเติมความผันผวนในระบบมากขึ้น

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากทองต่อเงินบาทดังกล่าว ธปท. ยอมรับว่าต้องหามาตรการเพื่อลดแรงเก็งกำไร โดยได้หารือกับผู้ประกอบการร้านทองอย่างใกล้ชิด จุดมุ่งหมายคือการ “ตัดวงจร” ความเชื่อมโยงระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาท หนึ่งในแนวทางหลักคือการปรับให้ธุรกรรมทองคำซื้อขายในรูปดอลลาร์มากขึ้น แทนที่จะใช้เงินบาทโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินลง ขณะเดียวกันก็มีมาตรการเสริมที่กำลังศึกษา เช่น การปรับปรุงระบบรายงานข้อมูลจากร้านทองเพื่อให้ติดตามโฟลว์ได้แบบ real time การช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมในรูปดอลลาร์เพื่อจูงใจผู้ค้า และแม้แต่การใช้มาตรการภาษีหากสถานการณ์รุนแรง แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อทั้งธุรกิจและผู้บริโภค

ธปท. ยังเน้นว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหยุดบาทแข็งโดยตรง เพราะปัจจัยหลักที่หนุนเงินบาทในปีนี้คือการอ่อนค่าของดอลลาร์ แต่เป็นเพียงการลด “แรงเสริม” ที่ทำให้เงินบาทแข็งเร็วกว่าประเทศอื่น เพื่อไม่ให้ความผันผวนลุกลามมากเกินไป ในระยะถัดไป ธปท. จะประชุมร่วมกับผู้ประกอบการร้านทองอีกครั้งเพื่อรับฟังข้อเสนอเพิ่มเติม และจะนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลร่วมกับการศึกษาผลข้างเคียงของมาตรการต่างๆ เพื่อหาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด

ในเชิงเปรียบเทียบ ธปท. ชี้ว่าแต่ละประเทศมีปัจจัยเฉพาะของตนเองที่กำหนดทิศทางค่าเงิน เช่น อินโดนีเซียที่ถูกกดดันจากสถานการณ์การเมือง หรือเวียดนามที่เผชิญผลกระทบจากภาษีการค้าและปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การวัดผลการดูแลค่าเงินไม่อาจเปรียบเทียบกันโดยตรง สิ่งที่ไทยเผชิญคือแรงกดดันฝั่งแข็งค่าที่เข้มกว่าประเทศอื่น เพราะการผูกโยงของค่าเงินบาทกับราคาทองคำซึ่งชัดเจนกว่าที่ใดในภูมิภาค ดังนั้นการออกมาตรการเพื่อลดความเชื่อมโยงนี้จึงเป็นภารกิจสำคัญ เพื่อให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจมากกว่าถูกชี้นำโดยการเก็งกำไรจากทองคำ


แชร์
ธปท.แจง‘เงินลึกลับ’อาจโยงเงินเทา แต่ทองทำบาทแข็ง มุ่งดันใช้ดอลลาร์เทรด