ช่วงนี้เราได้เห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งสูงเกิน 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งทำสถิติเป็นราคาสูงสุดตลอดกาล (all-time high) ครั้งใหม่ ราคาระดับนี้ไม่ใช่เพียงสูงสุดตลอดกาลตามราคาปัจจุบันเท่านั้น แต่เมื่อเทียบโดยปรับราคาทองคำในอดีตตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว พบว่าราคาทองคำในปัจจุบันก็ทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลเดิมที่ทำไว้เมื่อ 45 ปีก่อน ขึ้นมาเป็นระดับราคาสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ด้วย
มีรายงานของ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ที่ว่า ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นทำระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 3,674.27 ดอลลาลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันอังคารที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา นับเป็นราคาสูงสุดตลอดกาลเมื่อเทียบกับราคาทองคำในอดีตโดยปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว
สถิติราคาทองคำสูงสุดตลอดกาลเมื่อปรับตามเงินเฟ้อเดิมคือราคา 850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในวันที่ 21 มกราคม 1980 ซึ่งเมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้วเทียบเท่าราคา 3,590 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปัจจุบัน แม้ว่าวิธีการปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อจะมีหลายวิธี และแต่ละวิธีก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันเล็กน้อย แต่นักวิเคราะห์และนักลงทุนเห็นพ้องต้องกันว่า ราคาทองคำ ณ ปัจจุบันพุ่งทะลุราคาสถิติเดิมเมื่อปี 1980 ไปแล้ว
การพุ่งขึ้นของราคาทองคำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากธนาคารกลางของหลายประเทศซื้อทองคำมากขึ้น เพื่อกระจายการถือครองทุนสำรองออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และป้องกันตนเองจากการคว่ำบาตรที่มุ่งเป้าไปที่ศัตรูของสหรัฐฯ บวกกับนักลงทุนมีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
และในปี 2025 นี้ ราคาทองยิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดในเร็ว โดยนับจากต้นปีราคาพุ่งขึ้นแล้ว 40% สร้างสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่แล้ว 30 ครั้ง เฉพาะในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ราคาพุ่งขึ้นแล้ว 9% เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ของสหรัฐได้ลดหย่อนภาษีในประเทศ ขยายขอบเขตสงครามการค้าโลก และพยายามมีอิทธิพลเหนือธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
การเทขายสกุลเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯระยะยาว กำลังเน้นย้ำถึงความต้องการสินทรัพย์ของสหรัฐฯที่ลดลง และกระตุ้นให้เกิดคำถามว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายอยู่หรือไม่ ซึ่งคำถามเหล่านี้ยิ่งหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น
โรเบิร์ต มัลลิน (Robert Mullin) ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัทจัดการการลงทุน Marathon Resource Advisors ในสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่งที่สามารถคงความ ‘มีบทบาทสำคัญ’ มาได้อย่างยาวนานหลายร้อยปี หรืออาจจะหลายพันปี
เขากล่าวอีกว่า ตอนนี้บรรดาผู้จัดสรรสินทรัพย์กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความกังวลอย่างมีเหตุผลรองรับเกี่ยวกับระดับการใช้จ่ายงบประมาณแบบขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมกับตั้งคำถามถึงการจัดลำดับความสำคัญและความเต็มใจในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้ออย่างแท้จริงของธนาคารกลางสหรัฐ
ซึ่งความกังวลที่มัลลินกล่าวถึงนี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำพุ่งแตะ 850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในเดือนมกราคม 1980 นั้น พบว่าในช่วงเวลานั้น สหรัฐฯกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินตกต่ำ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) กำลังก่อตัวขึ้น ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน หลังจากที่ประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ของสหรัฐฯออกคำสั่งอายัดสินทรัพย์ของอิหร่านเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ตัวประกันอิหร่าน ส่งผลให้ระดับการรับรู้ความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐฯของธนาคารกลางของบางประเทศเพิ่มสูงขึ้น จึงมีการซื้อทองคำมากขึ้น
คาร์เมน ไรน์ฮาร์ต (Carmen Reinhart) อดีตรองประธานอาวุโสและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) แสดงความเห็นว่า ทองคำเป็นเครื่องสะท้อนถึงความตระหนักรู้ที่ผุดขึ้นมาใหม่ว่าภาวะเงินเฟ้ออาจเป็นและยังคงเป็นปัญหาอยู่ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของโลกด้วย
เธอชี้ให้มองย้อนไปดูในอดีตว่า ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ทองคำมีบทบาทมากในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ แต่ถ้ามองย้อนไปไกลกว่าทศวรรษ 1980 ทองคำมีบทบาทสำคัญเสมอเมื่อโลกมีความไม่แน่นอน
ทั้งนี้ สิ่งที่ต่างกันระหว่างการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในปี 1980 กับปัจจุบัน คือ ปรากฏการณ์ที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วในเดือนมกราคม 1980 นั้น ตามมาด้วยการร่วงลงอย่างรวดเร็ว แต่การพุ่งขึ้นของราคาทองคำในรอบปัจจุบันนี้มีความผันผวนน้อยกว่ามาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดในปัจจุบันมีสภาพคล่องและนักลงทุนเข้าถึงการซื้อทองคำได้ง่ายขึ้นมาก อีกทั้งทองคำยังดึงดูดนักลงทุนในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยความอ่อนแอของอุปสงค์การซื้อทองคำแบบดั้งเดิมได้
แกรนต์ สปอร์ (Grant Sporre) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์โลหะมีค่าและเหมืองแร่ระดับโลกของ Bloomberg Intelligence ได้ปรับแบบจำลองเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นของราคาทองคำ แล้วชี้ว่า ราคาทองคำในปัจจุบันสูงเกินจริงเมื่อเทียบกับราคาปกติในอดีต แต่เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯแล้ว ทองคำยังดูราคาถูก และราคาทองอาจพุ่งสูงขึ้นไปอีกหากตลาดหุ้นเริ่มปรากฏสัญญาณปัญหา