ราคาทองคำยังคงทะยานสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 22:10 น. ตามเวลาสหรัฐ ราคาทองคำปรับขึ้น 0.44% มาอยู่ที่ 3,653.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ การปรับขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากข้อมูลการจ้างงานสหรัฐออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน
ด้านสัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนธันวาคม 2568 ยังปรับขึ้นต่อเนื่องถึง 8 จาก 9 วันทำการล่าสุด โดยวันที่ราคาลดลงล่าสุดคือวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม นับตั้งแต่วันอังคารที่ 26 สิงหาคม
ราคาทองที่พุ่งขึ้นกว่า 37.80 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ส่งผลให้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือนธันวาคมปิดที่ 3,677.60 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นราคาปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การปรับตัวครั้งนี้ขับเคลื่อนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและแรงซื้อจากนักลงทุน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) ลดลง 0.29% แตะ 97.46 ช่วยเสริมแรงหนุนให้กับทองคำ
แรงผลักดันสำคัญของราคาทองคำคือข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payrolls) ของสหรัฐที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เดือนสิงหาคมมีการสร้างงานเพียง 22,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 78,000 ตำแหน่ง อีกทั้งการปรับทบทวนข้อมูลย้อนหลังยืนยันภาพที่น่ากังวล โดยพบว่าในเดือนมิถุนายนเศรษฐกิจสหรัฐสูญเสียงานไปถึง 13,000 ตำแหน่ง ถือเป็นการหดตัวรายเดือนครั้งแรกนับตั้งแต่ธันวาคม 2563 ส่วนเดือนกรกฎาคมแม้จะเป็นบวก แต่ก็สร้างงานเพียง 44,000 ตำแหน่ง แสดงถึงการชะลอตัวที่ต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มจาก 4.2% ในเดือนกรกฎาคมเป็น 4.3% ในเดือนสิงหาคม แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2564 ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจว่า Fed จะต้องเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยเครื่องมือ CME FedWatch แสดงความน่าจะเป็นสูงถึง 88%-89% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายน และคาดว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยรวมมากสุดถึงสามครั้งภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อทองคำ เพราะทองคำไม่ได้ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย
โจวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์จากยูบีเอส คาดว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นไปแตะ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ภายในกลางปีหน้า ขณะที่คาร์โล อัลแบร์โต เดอ คาซา นักวิเคราะห์อิสระจากสวิสโควต เสริมว่าแรงหนุนจากการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยกำลังผลักดันความต้องการทองคำ อีกทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางหลายแห่งยังคงเป็นปัจจัยเสริมที่ทรงพลัง
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาคำตัดสินเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการถอดถอนผู้ว่าการ Fed ลิซ่า คุก ซึ่งอาจมีผลต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางโดยตรง หาก Fed สูญเสียความเป็นอิสระ นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์เตือนว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นใกล้ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากการโยกย้ายเงินลงทุนบางส่วนจากพันธบัตรรัฐบาลเข้าสู่ทองคำแท่ง
นักวิเคราะห์มองว่า แม้ระดับจิตวิทยาที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ยังคงอยู่ห่างราว 60 ดอลลาร์ แต่การบรรจบกันของปัจจัยหนุนหลายด้าน ทั้งการอ่อนค่าของดอลลาร์ การคาดการณ์นโยบายการเงินผ่อนคลาย และสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย ล้วนสร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้ราคาทองคำมีแรงส่งพอจะทะลุแนวต้านดังกล่าวในอนาคตอันใกล้
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ราคาทองคำได้ปรับขึ้นแล้วกว่า 38% ต่อเนื่องจากการปรับขึ้นขนาดใหญ่ 27% ในปี 2567 ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ การเข้าซื้อทองคำโดยธนาคารกลางทั่วโลก นโยบายการเงินที่มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น และบรรยากาศความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
อีกด้านหนึ่ง ปัจจัยทางนโยบายยังช่วยเสริมแรงหนุนเชิงบวก โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเว้นทองคำและแร่ธาตุสำคัญจากมาตรการภาษีนำเข้าระดับโลก ซึ่งช่วยยุติกระแสคาดการณ์ว่าทองคำอาจถูกนำไปรวมในมาตรการดังกล่าว การยกเว้นนี้ช่วยคลายแรงกดดันต่อตลาดโลหะมีค่าในระยะสั้น และเพิ่มความมั่นใจว่าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก