ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold futures) ในตลาดนิวยอร์กพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แตะระดับ 3,534.1 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาทองคำปิดตลาดที่ 3,398.5 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +35.93 ดอลลาร์ ทำจุดสูงสุดที่ 3,409 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ราคาทองคำที่ดีดตัวขึ้นไปแรง เพราะมีความวิตกเกี่ยวกับกรณีที่สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) ได้ออกหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง ซึ่งแน่นอนว่า ภาษีนำเข้าของทรัมป์ กำลังเขย่าตลาดทองคำ
บทวิเคราะห์จากฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่า สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) ได้ออกหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการว่า ทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และ 100 ทรอยออนซ์ ควรถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษี
การประกาศเก็บภาษีนำเข้าทองคำครั้งนี้ อาจยิ่งซ้ำเติมสวิตเซอร์แลนด์ที่เผชิญภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึง 39% หลังรัฐบาลสวิสประสบความล้มเหลวในการยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีนำเข้าได้ทันก่อนกำหนดเส้นตายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 7 ส.ค. ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความตกตะลึงทั่วตลาดทองคำแท่ง เพราะไม่เคยคาดคิดว่าทองคำจะได้รับผลกระทบใดๆ จากกำแพงการค้า
การตั้งกำแพงภาษีต่อทองคำแท่ง อาจเสี่ยงกระทบกระแสการค้าทองคำโลก โดยเฉพาะในสวิตเซอร์แลนด์ และศูนย์กลางสกัดทองคำอื่นๆ ทั่วโลก เช่น ลอนดอน และฮ่องกง ซึ่งในเวลาต่อมาทำเนียบขาวเตรียมออกคำสั่งโดยประธานาธิบดีเพื่อชี้แจงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำแท่ง หลังมีความสับสนเรื่องรหัสศุลกากรที่ส่งผลให้บางบริษัทต้องหยุดส่งทองคำแท่งไปยังสหรัฐฯ
โดยเฉพาะทองแท่งขนาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดสหรัฐฯ อาจจะเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุดตามประเทศที่นำเข้ามา ไม่ใช่เก็บภาษีแบบรวม ๆ เหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทองคำทั่วโลก โดยเฉพาะทองคำจากสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิต รวมถึงประเทศผู้ผลิตทองคำสำคัญอื่น ๆ อย่างแคนาดาและแอฟริกาใต้
การประกาศนี้ทำให้ราคาทองคำฟิวเจอร์ลดลงเล็กน้อย และบริษัทผลิตทองคำรายใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์บางแห่งหยุดส่งทองคำไปสหรัฐฯ ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม สต็อกทองคำที่เก็บไว้ในโกดังของตลาด COMEX ในสหรัฐฯ ยังสูงกว่าปกติมาก ทำให้ตลาดยังมีสภาพคล่องเพียงพอในช่วงเวลานี้
บทวิเคราะห์ของฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่า หากมองถึงเหตุผลทำไมทรัมป์ถึงต้องการขึ้นภาษีนำเข้าทองคำ อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า การขึ้นภาษีนำเข้าส่งผลให้เพิ่มต้นทุนทองคำจากต่างประเทศ ขณะที่ช่วยลดการแข่งขันในตลาดภายในประเทศสหรัฐฯ และจากนโยบายทรัมป์ต้องการให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจด้านการผลิต โดยที่ทรัมป์มีหลักการ ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน ไม่เชื่อเรื่องทรัพยากรในสหรัฐฯ จะขาดแคลน เชื่อว่าน้ำมันมีเพียงพอ และปัจจัยในสหรัฐฯ มีเยอะ จึงอยากให้ทุกประเทศมาตั้งการผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งอาจรวมถึงธุรกิจเหมืองทอง เมื่อความต้องการทองคำจากทั่วโลกมีมาก ก็อยากให้ผู้ผลิตทองหันมาผลิตที่สหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นการจ้างงานในประเทศ และเพิ่มการส่งออก นั่นหมายความว่า ทรัมป์อาจต้องการให้สวิตเซอร์แลนด์เข้ามาทำธุรกิจเหมืองในสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดทอง COMEX Future และตลาดทอง Spot ปรับตัวขึ้นตามกัน อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามดูปัจจัยเรื่องการเก็บภาษีทองคำของสหรัฐฯต่อไป ขณะที่ปัจจัยอื่นๆที่นักลงทุนจับตาคือ การคาดการณ์เรื่องดอกเบี้ยจาก FED และ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ รัสเซีย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศแต่งตั้งให้ สตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาว เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เพิ่งว่างลง จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2569
การแต่งตั้งมิแรนเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าทรัมป์อาจเสนอชื่อ “ประธานเงา” (Shadow Chair) ให้เข้าไปทำหน้าที่ใน Fed โดยเฉพาะเพื่อเป็นเสียงค้านและสะท้อนท่าทีของทำเนียบขาวเพื่อกดดันให้เฟดเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย การแต่งตั้งนายมิแรนเกิดขึ้นเพื่อทดแทนตำแหน่งของเอเดรียนา คูเกลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟดที่ได้ลาออกไป
อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวระบุว่าจะยังคงเดินหน้าสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้อย่างถาวรต่อไป สำหรับคณะกรรมการเฟดประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 7 คน ซึ่งจะได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา
ขณะที่นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ (Christopher Waller) ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) กำลังกลายเป็นตัวเต็งอันดับต้น ๆ ที่ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พิจารณาเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไป แทนนายเจอโรม พาวเวล เมื่อวาระของพาวเวลสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 2569 โดยที่มีผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ได้แก่ นายเควิน วอร์ช อดีตเจ้าหน้าที่เฟด และ นายเควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเช่นกัน
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 โดยซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 60,000 ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 1.8 ตัน ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันธนาคารกลางจีนถือครองทองคำรวม 73.90 ล้านทรอยออนซ์ หรือราวเกือบ 2,300 ตัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ว่าจะพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา ในวันที่ 15 สิงหาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของสงครามในยูเครน การประกาศดังกล่าว เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทรัมป์ กล่าวที่ทำเนียบขาว โดยส่งสัญญาณว่า ยูเครนอาจต้องยอมเสียดินแดนให้แก่รัสเซียเพื่อยุติสงครามที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 ทั้งนี้ ทรัมป์ ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับกำหนดการพบปะกับปูติน ขณะที่โฆษกเครมลิน ยืนยันการพบกันของทั้งสองผู้นำ โดยกล่าวว่าสถานที่พบปะหารือค่อนข้างสมเหตุสมผล เนื่องจากอะแลสกาตั้งอยู่ใกล้กับรัสเซีย พร้อมทั้งเสริมว่า ทรัมป์ได้รับเชิญให้ไปเยือนรัสเซียเพื่อประชุมกับปูติน เป็นครั้งที่ 2
ราคาทองโลกคาดเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway ออกข้าง โดยระยะสั้นเกิดสัญญาณ Overbought ในกราฟราย 4 ชั่วโมง จึงคาดมีโอกาสปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไร ซึ่งคาดว่ามีแนวรับตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA50 วัน ที่ปรับตัวสูงขึ้นบริเวณ 3,340 และ 3,350 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านที่ระดับ 3,410 และ 3,430 ดอลลาร์
แนะนำการลงทุนในสัปดาห์ นักลงทุนทองคำแท่งที่มีสถานะซื้อไว้ก่อนหน้านี้ แนะนำ Let Profit Run โดยสามารถทยอยปิดขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้นบริเวณ 52,100 บาท และถัดไปที่ระดับ 52,400 บาท ขณะที่สามารถเปิดสถานะซื้อรอบใหม่เมื่อราคาปรับตัวลงบริเวณ 51,400 – 51,500 บาท
ที่มา: บทวิเคราะห์ของ ฮั่วเซ่งเฮง 11/8/68 , Reuters