หากมองย้อนกลับไปเรามักได้ยินข่าวความขัดแย้งของตระกูลนักธุรกิจชื่อดังหลายกรณี ที่เกิดขึ้นจากการสืบทอดกิจการไม่ว่าจะระหว่างรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก หรือจากรุ่นปู่สู่รุ่นหลาน
ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการรักษาและส่งต่อธุรกิจครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างจากอดีตมาก ล้วนเป็นความท้าทายของธุรกิจครอบครัวทั้งสิ้น
แม้จะมีความท้าทาย แต่ธุรกิจครอบครัวก็ยังเป็น “รากฐานที่มั่นคง” ของเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของจำนวนบริษัท มูลค่าทางเศรษฐกิจ และบทบาทต่อการสร้างงานและการเสียภาษี
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีทั้งหมด 850 บริษัท ในจำนวนนี้ 646 บริษัท หรือคิดเป็น 76% จัดอยู่ในกลุ่ม “ธุรกิจครอบครัว” ถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนชัดเจนว่าครอบครัวไทยยังมีบทบาทนำในการสร้างและขับเคลื่อนกิจการ
นอกจากจำนวนแล้ว ธุรกิจครอบครัวยังครองมูลค่าตลาดครึ่งหนึ่งของทั้งตลาด หรือ ประมาณ 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Cap) ซึ่งหมายความว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าในตลาดหุ้นไทยมาจากกิจการที่ยังมีครอบครัวเป็นแกนกลาง
ธุรกิจครอบครัวไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงบางอุตสาหกรรม แต่มีการกระจายตัวอยู่ในเกือบทุกหมวดธุรกิจที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ธุรกิจครอบครัวเป็นโครงสร้างหลักของเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตร อุตสาหกรรม การบริการ หรือการบริโภค
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวยืนระยะได้ยาวนาน คือ “ตลาดทุนไทย” ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนหลักตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (2558–2567)
ไม่เพียงแต่ IPO เท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน ธุรกิจครอบครัวยังมีการ ระดมทุนในตลาดรอง อย่างต่อเนื่อง รวม 410 ครั้ง จาก 108 บริษัท คิดเป็นมูลค่ากว่า 351,131 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไม่ใช่เพียงแค่ช่องทางเข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชน แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสภาพคล่องและขยายกิจการต่อเนื่อง
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ “อายุ” ของธุรกิจครอบครัว โดยการศึกษาในปี 2568 พบว่า บริษัทครอบครัวมีอายุเฉลี่ยของกิจการอยู่ที่ 36 ปี และบางบริษัทมีอายุยืนยาวถึง 149 ปี ซึ่งเกือบ 3 เท่าของอายุตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง
ก่อนเข้าตลาดหุ้น ธุรกิจครอบครัวใช้เวลาทำธุรกิจด้วยทุนส่วนตัวและสินเชื่อโดยเฉลี่ย 19 ปี จึงสะท้อนว่า ครอบครัวเจ้าของกิจการมักสร้างความมั่นคงก่อนเข้าสู่ตลาดทุน และเมื่อเข้าตลาดแล้วก็สามารถยืนระยะได้ยาวนานกว่าหลายทศวรรษ
ตัวเลขในปี 2567 แสดงบทบาทของธุรกิจครอบครัวต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน
แม้ธุรกิจครอบครัวจะต้องเผชิญความท้าทายในการสืบทอดกิจการจากรุ่นสู่รุ่น แต่จากข้อมูลเชิงประจักษ์ในตลาดทุนไทย ธุรกิจครอบครัวยังคงเป็น “เสาหลัก” ของเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของรายได้ การสร้างงาน และการเสียภาษี ข้อมูลยังชี้ว่า ธุรกิจครอบครัวเป็นผู้ใช้ตลาดทุนไทยอย่างเข้มแข็ง ทั้งเพื่อระดมทุนครั้งแรกและต่อยอดผ่านตลาดรอง
ดังนั้น หากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถสนับสนุนให้ธุรกิจครอบครัวปรับตัวได้ทันกับยุคสมัย เข้าถึงแหล่งทุนและพัฒนาโครงสร้างองค์กรอย่างยั่งยืน ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เพราะธุรกิจที่เริ่มต้นจากครอบครัว ไม่เพียงแต่สร้างความมั่นคงแก่ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศทั้งระบบ
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย