Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
SCG กำไร 18,436 ล้านบาทใช้จุดแข็งมี 'ฐานผลิตอาเซียน' สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

SCG กำไร 18,436 ล้านบาทใช้จุดแข็งมี 'ฐานผลิตอาเซียน' สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ

31 ก.ค. 68
18:12 น.
แชร์

ครึ่งปีแรก 2568 นี้ SCG เดินหน้าทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโลกจะยังเปราะบาง แต่รายได้รวมของบริษัทก็แตะที่ 249,077 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท จุดที่น่าสนใจมากคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) สูงถึง 30,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังปีก่อนถึง 21% แปลว่าบริษัทมีเงินหมุนคล่อง และพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่กำลังจะมาในครึ่งปีหลัง

สำรวจผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 ของ SCG 

  • ในไตรมาส 2/2568  SCG บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลง 7,164 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2568 หนี้สินสุทธิ ลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท
  • ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 SCG มีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกของปี 2567 

คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568

3 ปัจจัยสำคัญที่มาของผลงานในครึ่งปีแรก 

เบื้องหลังตัวเลขสวย ๆ เหล่านี้ มาจาก 3 เรื่องหลัก ๆ ที่ SCG เดินหน้าเต็มสูบในช่วงครึ่งปีแรก 

1.การ “ลดต้นทุน” 

ทุกบริษัทในกลุ่มต่างเดินหน้าลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

  • เอสซีจีซี -  บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท 
  • เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ - ใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 1,100 ล้านบาท 
  • เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เจรจาลดต้นทุนวัตถุดิบ บริหารจัดการสินค้าคงคลัง ลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปี
  • เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้หุ่นยนต์และพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 105 ล้านบาท

2.ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ 

เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

3.ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ

เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพรวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท

ยอมรับครึ่งปีหลังเศรฐกิจชะลอตัว 

สำหรับภาพของครึ่งปีหลัง คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ SCG ยอมรับว่า ครึ่งปีหลังยังมีความท้าทายรออยู่เยอะ โดยเฉพาะเรื่อง “ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ” ที่รัฐบาลทรัมป์เริ่มทยอยประกาศใช้กับหลายประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่เฉลี่ยประมาณ 10% แน่นอน 

ตอนนี้ต้องรอดูว่าไทยจะได้ภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ และอีกจุดที่หลายคนมองข้ามคือภาษี Transhipment หรือภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านไทยก่อนจะไปอเมริกา ซึ่งถ้าอัตราสูงก็อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานพอสมควร

 คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ SCG

“เราต้องมีขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้ก่อน เราจึงจะได้ประโยชน์ และต้องดูว่า supply chain และธุรกิจ SME ของเราปรับตัวได้มั้ย” คุณธรรมศักดิ์กล่าว 

ด้านคุณจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี เสริมว่า ตลาดหลักของ SCG ยังอยู่ในไทย 55% อาเซียน 27% ส่วนสหรัฐฯ มีสัดส่วนแค่ 1% เท่านั้น ทำให้ไม่ถึงกับน่ากังวล แต่ก็ประมาทไม่ได้

สำหรับความท้าทายของครึ่งปีหลัง คุณธรรมศักดิ์ มองว่ามี 3 เรื่องหลัก คือ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ , 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนอกจากความขัดแย้งระดับโลกแล้ว ความขัดแย้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไป แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับผกระทบใดๆมากนัก และเอสซีจีก็ให้ความช่วยเหลือดูแลพนักงานของบริษัทอย่างเต็มที่ และ 3.ราคาพลังงานโลก - ที่เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอ ก็ส่งผลให้ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลง

กลยุทธ์ครึ่งปีหลัง ใช้จุดแข็งด้านฐานผลิตในอาเซียน 

สำหรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง SCG จะยังคงเน้นการใช้ “จุดแข็งด้านฐานผลิตในอาเซียน” โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้ภาษีนำเข้าต่ำกว่า และมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกได้ 

พร้อมทั้งเดินหน้าผลิตสินค้ากลุ่ม HVA และกรีนโปรดักต์ รวมถึงขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อย่างตะวันออกกลาง แอฟริกา และออสเตรเลีย เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ

1. ชูฐานผลิตในอาเซียน – เวียดนามคือหัวใจหลัก (Regional Optimization) 

SCG ใช้จุดแข็งจากฐานการผลิตในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้เปรียบด้านภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เพียง 20% และต้นทุนยังแข่งขันได้ โรงงาน ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม  หรือ  LSP ที่เวียดนามเตรียมกลับมาผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายเดือนสิงหาคมนี้ 

โรงงาน ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม 

ขณะเดียวกันก็ขยายการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ ได้ถึง 8,000 ตัน  กระเบื้องพอร์ซเลน และบรรจุภัณฑ์หลากหลายชนิดในเวียดนาม รองรับทั้งตลาดภายในและการส่งออก

เรามองว่านี่จุดแข็ง หากภาษีไทยสูงกว่าประเทศอื่น SCG มีฐานผลิตในอาเซียนหลายประเทศ ทั้ง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เราสามารถใช้เป็นฐานการผลิตแล้วส่งออกได้ โดยที่ยังคงมีฐานที่ประเทศไทยเหมือนเดิม 

นอกจากอาเซียน SCG ยังมองหาตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลก เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และยุโรป โดยเน้นการส่งออกสินค้ากลุ่มก่อสร้างที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ และกระเบื้องที่พัฒนาให้แข็งแรงทนทานขึ้น

2. ลดต้นทุน ด้วยเทคโนโลยีและจัดการให้คล่องตัว

หนึ่งในหัวใจสำคัญของความสามารถในการแข่งขัน คือการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ SCG จึงเร่งใช้หุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยทั้งในกระบวนการผลิต การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง และการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทำให้ลดความสูญเสีย ลดแรงงานซ้ำซ้อน และเพิ่มความเร็วในทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ยังมีการรวมศูนย์โรงงานที่ผลิตซ้ำกัน และบริหารจัดการคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ ทำให้ SCG ลดต้นทุนบริหารจัดการได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา

SCG ใช้เทคโนโลยี หุ่นยนต์ช่วยการผลิต

3. ดันสินค้า Smart Value – HVA – Green บุกตลาด

SCG ขยายพอร์ตสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยดันสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value) เช่น ปูน ADAMAX หรือสุขภัณฑ์ SOSUCO สำหรับตลาดเกิดใหม่ พร้อม ๆ กับการผลักดันสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อย่าง CHILLOX หรือ DRS ที่เน้นโซลูชันด้านพลังงานและอุตสาหกรรม

ในด้านสิ่งแวดล้อม SCG ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ Green เช่น ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR และกระเบื้อง DECAAR ที่สะท้อนและคายความร้อนได้ดี ตอบโจทย์โลกยุคคาร์บอนต่ำ และลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

คืนนี้เอง น่าจะได้รู้กันแล้วว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่ที่เท่าไร ซึ่งไม่ใช่แค่ภาครัฐที่ต้องลุ้น ธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง SCG เองก็จับตาอย่างใกล้ชิด เพราะผลลัพธ์ที่จะออกมา อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางครึ่งปีหลังของทั้งองค์กร และภาคอุตสาหกรรมไทยเลยก็ว่าได้

แชร์
SCG กำไร 18,436 ล้านบาทใช้จุดแข็งมี 'ฐานผลิตอาเซียน' สู้ศึกภาษีสหรัฐฯ