ครึ่งปีแรก 2568 นี้ SCG เดินหน้าทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโลกจะยังเปราะบาง แต่รายได้รวมของบริษัทก็แตะที่ 249,077 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท จุดที่น่าสนใจมากคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) สูงถึง 30,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังปีก่อนถึง 21% แปลว่าบริษัทมีเงินหมุนคล่อง และพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่กำลังจะมาในครึ่งปีหลัง
คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568
เบื้องหลังตัวเลขสวย ๆ เหล่านี้ มาจาก 3 เรื่องหลัก ๆ ที่ SCG เดินหน้าเต็มสูบในช่วงครึ่งปีแรก
ทุกบริษัทในกลุ่มต่างเดินหน้าลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพรวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท
สำหรับภาพของครึ่งปีหลัง คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ของ SCG ยอมรับว่า ครึ่งปีหลังยังมีความท้าทายรออยู่เยอะ โดยเฉพาะเรื่อง “ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ” ที่รัฐบาลทรัมป์เริ่มทยอยประกาศใช้กับหลายประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่เฉลี่ยประมาณ 10% แน่นอน
ตอนนี้ต้องรอดูว่าไทยจะได้ภาษีกี่เปอร์เซ็นต์ และอีกจุดที่หลายคนมองข้ามคือภาษี Transhipment หรือภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านไทยก่อนจะไปอเมริกา ซึ่งถ้าอัตราสูงก็อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานพอสมควร
“เราต้องมีขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้ก่อน เราจึงจะได้ประโยชน์ และต้องดูว่า supply chain และธุรกิจ SME ของเราปรับตัวได้มั้ย” คุณธรรมศักดิ์กล่าว
ด้านคุณจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี เสริมว่า ตลาดหลักของ SCG ยังอยู่ในไทย 55% อาเซียน 27% ส่วนสหรัฐฯ มีสัดส่วนแค่ 1% เท่านั้น ทำให้ไม่ถึงกับน่ากังวล แต่ก็ประมาทไม่ได้
สำหรับความท้าทายของครึ่งปีหลัง คุณธรรมศักดิ์ มองว่ามี 3 เรื่องหลัก คือ ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ , 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนอกจากความขัดแย้งระดับโลกแล้ว ความขัดแย้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไป แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับผกระทบใดๆมากนัก และเอสซีจีก็ให้ความช่วยเหลือดูแลพนักงานของบริษัทอย่างเต็มที่ และ 3.ราคาพลังงานโลก - ที่เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอ ก็ส่งผลให้ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลง
สำหรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง SCG จะยังคงเน้นการใช้ “จุดแข็งด้านฐานผลิตในอาเซียน” โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้ภาษีนำเข้าต่ำกว่า และมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกได้
พร้อมทั้งเดินหน้าผลิตสินค้ากลุ่ม HVA และกรีนโปรดักต์ รวมถึงขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อย่างตะวันออกกลาง แอฟริกา และออสเตรเลีย เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ
SCG ใช้จุดแข็งจากฐานการผลิตในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามที่ได้เปรียบด้านภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เพียง 20% และต้นทุนยังแข่งขันได้ โรงงาน ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม หรือ LSP ที่เวียดนามเตรียมกลับมาผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายเดือนสิงหาคมนี้
ขณะเดียวกันก็ขยายการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ ได้ถึง 8,000 ตัน กระเบื้องพอร์ซเลน และบรรจุภัณฑ์หลากหลายชนิดในเวียดนาม รองรับทั้งตลาดภายในและการส่งออก
เรามองว่านี่จุดแข็ง หากภาษีไทยสูงกว่าประเทศอื่น SCG มีฐานผลิตในอาเซียนหลายประเทศ ทั้ง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เราสามารถใช้เป็นฐานการผลิตแล้วส่งออกได้ โดยที่ยังคงมีฐานที่ประเทศไทยเหมือนเดิม
นอกจากอาเซียน SCG ยังมองหาตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลก เช่น แอฟริกา ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และยุโรป โดยเน้นการส่งออกสินค้ากลุ่มก่อสร้างที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ และกระเบื้องที่พัฒนาให้แข็งแรงทนทานขึ้น
หนึ่งในหัวใจสำคัญของความสามารถในการแข่งขัน คือการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ SCG จึงเร่งใช้หุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยทั้งในกระบวนการผลิต การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง และการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทำให้ลดความสูญเสีย ลดแรงงานซ้ำซ้อน และเพิ่มความเร็วในทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ยังมีการรวมศูนย์โรงงานที่ผลิตซ้ำกัน และบริหารจัดการคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ ทำให้ SCG ลดต้นทุนบริหารจัดการได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
SCG ขยายพอร์ตสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยดันสินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value) เช่น ปูน ADAMAX หรือสุขภัณฑ์ SOSUCO สำหรับตลาดเกิดใหม่ พร้อม ๆ กับการผลักดันสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อย่าง CHILLOX หรือ DRS ที่เน้นโซลูชันด้านพลังงานและอุตสาหกรรม
ในด้านสิ่งแวดล้อม SCG ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ Green เช่น ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR และกระเบื้อง DECAAR ที่สะท้อนและคายความร้อนได้ดี ตอบโจทย์โลกยุคคาร์บอนต่ำ และลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
คืนนี้เอง น่าจะได้รู้กันแล้วว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่ที่เท่าไร ซึ่งไม่ใช่แค่ภาครัฐที่ต้องลุ้น ธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง SCG เองก็จับตาอย่างใกล้ชิด เพราะผลลัพธ์ที่จะออกมา อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางครึ่งปีหลังของทั้งองค์กร และภาคอุตสาหกรรมไทยเลยก็ว่าได้