ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานภาวะตลาดเดือนพฤษภาคม 2568 โดยแม้ดัชนี SET จะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยภายในและต่างประเทศ แต่ตลาดไทยยังแสดงจุดแข็งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในด้านผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค และได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยว่า ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ดัชนี SET ปิดที่ 1,149.18 จุด ลดลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า และลดลงสะสม 17.9% จากต้นปี 2568 ซึ่งแม้จะลดลงมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค แต่ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ที่สามารถปรับตัวดีเหนือกว่า SET Index จากช่วงปลายปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2568 หลายบริษัทยังมีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออก และภาคบริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ขนส่ง และโทรคมนาคม
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนกว่าครึ่งยังรายงานกำไรสุทธิเท่ากับหรือสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สาเหตุหลักมาจากการรับได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ปรับลดลง นอกจากนี้ รายจ่ายดอกเบี้ยของ บจ. ในไตรมาสล่าสุดยังสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงสอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ตลท. เปิดเผยว่า ในภาวะที่ตลาดยังเผชิญความผันผวนสูง นักลงทุนจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นความมั่นคงของกระแสเงินสด โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสะท้อนเสถียรภาพทางการเงินและความสามารถในการสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง
จุดแข็งนี้ของบริษัทจดทะเบียนไทยยังปรากฏชัดจาก อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งอยู่ที่ 4.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นเอเชียที่ 3.34% อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในฐานะแหล่งลงทุนเพื่อกระแสรายได้ประจำในช่วงที่ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่
ด้านสภาวะการซื้อขาย เดือนพฤษภาคม ตลาด SET และ mai มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 43,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% จากเดือนก่อนหน้า แม้นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการซื้อขายสูงถึง 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งเป็นผลจากการปรับพอร์ตตามรอบ MSCI Rebalance ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน
ในด้านการประเมินมูลค่า ตลาดหุ้นไทยมี Forward P/E ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 12.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นเอเชียที่ 12.1 เท่า ขณะที่ Historical P/E อยู่ที่ 13.7 เท่า เทียบกับเอเชียที่ 13.6 เท่า
ด้านตลาด TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 356,872 สัญญา ลดลง 17.7% จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลหลักจากการชะลอตัวของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ส่งผลให้ยอดเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 437,620 สัญญาต่อวัน ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ กลุ่ม Gold Online Futures ก็มีแนวโน้มปริมาณซื้อขายลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในเดือนพฤษภาคม หนึ่งในแรงหนุนที่ช่วยลดความตึงเครียดตลาด คือการที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงในการระงับการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งช่วยให้เม็ดเงินบางส่วนไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง นักลงทุนทั่วโลกคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าชั่วคราว
ขณะเดียวกัน สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้ผ่านร่างกฎหมายลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “One Big Beautiful Bill” โดยบางมาตราอาจกระทบต่อโครงสร้างภาษีของนักลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ จึงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะถัดไป
ทั้งนี้ แม้มีสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แต่การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง ท่ามกลางการไหลออกของเงินทุนต่างชาติและความไม่แน่นอนของนโยบายการคลังภายในประเทศ ความต่อเนื่องของปัจจัยบวกจากต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุนภายในประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้