ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงกลางปี 2568 ได้สร้างความกังวลในวงการธุรกิจ โดยเฉพาะกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ที่มีการลงทุนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดกัมพูชา แม้ยังไม่มีมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจหรือการค้าจากทั้งสองประเทศ แต่ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และก่อให้เกิดแรงกดดันเชิงจิตวิทยาต่อการดำเนินธุรกิจ
บทวิเคราะห์จาก บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลกระทบในระดับแตกต่างกันตามกลุ่มอุตสาหกรรม โดยสามารถจำแนกได้ดังนี้
คาราบาวกรุ๊ป จำกัด มหาชน เป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกัมพูชาเป็นตลาดส่งออกหลักของเครื่องดื่มชูกำลัง โดยมียอดขายจากกัมพูชาคิดเป็นประมาณ 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหมด และประมาณ 21% ของรายได้รวมของบริษัท
นอกจากนี้ CBG ยังมีแผนสร้างโรงงานร่วมทุนในกัมพูชา โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงต้นปี 2569 ความไม่แน่นอนในภูมิภาคจึงอาจกระทบต่อไทม์ไลน์การลงทุน
โดยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติให้บริษัท เอเชียคาราบาวเวนเจอร์จํากัด (ACV) (บริษัทย่อย) เข้าทําสัญญาร่วมทุนกับบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน 2 ราย เพื่อจัดตั้งบริษัท คาราบาว (กัมพูชา) จํากัด ในประเทศกัมพูชา เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจําหน่ายเครื่องดื่ม โดยมีทุนจดทะเบียน 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,450 ล้านบาท โดยบริษัทย่อยจะถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 60
จากข้อมูลของ บล.เอเซีย พลัส บริษัท โอสถสภา จำกัด มหาชน มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาเพียง 1-2% ของยอดขายรวม จึงมีความเสี่ยงต่ำที่จะได้รับผลกระทบหากความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชารุนแรงขึ้น
จากรายงานประจำปี 2567 ธุรกิจเครื่องดื่มในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ของโอสถสภาเติบโตร้อยละ 35.2 จากปีก่อนหน้า โดยรายได้หลักมาจากรายได้ในเมียนมาและลาวที่เติบโตเป็นเลขสองหลัก และการขยายตลาดใหม่อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม
มีโรงพยาบาล 2 แห่งในกัมพูชา แต่คิดเป็นเพียง 1% ของรายได้กลุ่มโรงพยาบาล ลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศกัมพูชา ทำให้คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
มีโรงพยาบาลที่อรัญประเทศ อาจได้รับผลกระทบทาง Sentiment เนื่องจากอยู่ใกล้พรมแดน
มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกัมพูชาขนาด 39 เมกะวัตต์ คิดเป็นเพียง 1% ของกำลังการผลิตรวม ทำให้คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา
มีสถานีบริการน้ำมัน 186 แห่ง, ร้าน Cafe Amazon 254 แห่ง และร้านสะดวกซื้อ 71 แห่งในกัมพูชา โดยในปี 2567 OR มี EBITDA จากเวียดนาม (รวมเครือข่ายในภูมิภาค CLMV) ประมาณ 1.2 พันล้านบาท หรือ 7% ของ EBITDA รวม
ปัจจุบัน บริษัทยืนยันว่ายังดำเนินงานเป็นปกติ ไม่มีผลกระทบในทางปฏิบัติ
กลุ่ม ICT: ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากเน้นการดำเนินงานภายในประเทศไทย
ปัจจุบัน ซีพี ออลล์ มี 7-Eleven ในกัมพูชา 112 สาขา จากทั้งหมด 15,367 สาขา (99.2% อยู่ในไทย) ทั้งนี้กัมพูชาถือว่าเป็นประเทศเป้าหมายหลักของ CPALL หลังได้จัดตั้ง CP ALL (Cambodia) Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPALL ถือหุ้น 100% และได้รับสิทธิแฟรนไชส์เป็นระยะเวลา 30 ปี ต่ออายุสัญญาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 20 ปี
บริษัทได้เปิดให้บริการร้าน 7-Eleven สาขาแรกในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ถือเป็นก้าวสำคัญของ CPALL ในการเติบโตสู่ตลาดอาเซียน
ปัจจุบัน บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจแม็คโครในประเทศกัมพูชาจำนวน 3 สาขา จากจำนวนสาขาทั้งหมด 175 แห่งทั่วภูมิภาค โดยสาขาแรกเปิดให้บริการเมื่อปี 2560 ณ เขตเซ็นสก กรุงพนมเปญ
ภายหลังจากความสำเร็จของสาขาแรก บริษัทได้เดินหน้าขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศกัมพูชา โดยเปิดสาขาที่สองในจังหวัดเสียมเรียบ และสาขาที่สาม ณ เขตจรอย จางวา (Chroy Changvar) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงพนมเปญ โดยสาขาดังกล่าวเริ่มเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม ปี 2565
ปัจจุบัน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจค้าปลีกภายใต้แบรนด์ “บิ๊กซี” ในประเทศกัมพูชาจำนวนทั้งสิ้น 25 สาขา จากจำนวนสาขาทั้งหมดกว่า 2,030 แห่งทั่วทั้งภูมิภาค โดยสาขาแรกในกัมพูชาถูกจัดตั้งขึ้น ณ ตำบลปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เนื่องจากตั้งอยู่ติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดน
ต่อมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2564 บริษัทได้เปิดให้บริการ “มินิบิ๊กซี” สาขาแรกในกรุงพนมเปญ นับเป็นการขยายสู่ตลาดประเทศที่สามของแบรนด์บิ๊กซี ต่อเนื่องจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและ สปป.ลาว
ปัจจุบัน บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศกัมพูชาจำนวนทั้งสิ้น 6 แห่ง รวมจำนวนจอฉาย 33 จอ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3.8% ของจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งหมด
การขยายธุรกิจของเมเจอร์ในกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท อิออน มอลล์ โดยได้ร่วมลงทุนเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศสาขาแรก ณ ศูนย์การค้าอิออน มอลล์ กรุงพนมเปญ เมื่อปี พ.ศ. 2557
ปัจจุบัน บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจในประเทศกัมพูชาผ่านบริษัท Chip Mong Insee Cement Corporation (CMIC) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ชิปมง กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของกัมพูชา ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน)
ในการร่วมทุนครั้งนี้ ปูนซีเมนต์นครหลวงถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 และสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน CMIC อยู่ในระดับประมาณ 200–250 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นประมาณร้อยละ 5–8 ของกำไรสุทธิรวมของ
ปัจจุบัน ปูนซิเมนต์ไทย มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้รวม โดยบริษัทได้ลงทุนในกัมพูชาภายใต้แบรนด์ “K Cement” (K ย่อจาก Khmer) และได้ลงทุนในกัมพูชามานานกว่า 33 ปี โดยเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความร่วมมือเริ่มต้นในปี 2535 ด้วยการจัดตั้ง SCG Trading ก่อนขยายสู่การก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ในจังหวัดกำปอต ซึ่งเปิดดำเนินการในปี 2550 ด้วยมูลค่าลงทุนราว 200–300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน SCG มีมูลค่าการลงทุนในกัมพูชากว่า 15,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาดราว 30% จำนวนพนักงานในกัมพูชา 700 คน (90% เป็นชาวกัมพูชา) และพนักงานชาวไทย 20-25 คน
ปัจจุบัน เจริญโภคภัณฑ์ มีฐานการผลิตในกัมพูชาเพื่อจำหน่ายในประเทศ คิดเป็น 3-4% ของรายได้รวม และดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย C.P. Cambodia Co., Ltd. ซึ่งก่อตั้งในปี 2539
บริษัท C.P. Cambodia ดำเนินธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงการแปรรูปและผลิตอาหาร พร้อมทั้งขยายสู่ธุรกิจค้าปลีกภายใต้แบรนด์ FIVE STAR, STAR Coffee, CP Fresh Mart และ CP Fresh Shop
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์: ไม่มีบริษัทใดในกลุ่มที่มีโครงการในกัมพูชา หรือใกล้พรมแดนไทย-กัมพูชา
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา และไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจหรือการลงทุนระยะยาว นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ชี้ว่า ผลกระทบต่อ บจ.ไทยที่ลงทุนในกัมพูชายังจำกัดอยู่ในระดับ "จิตวิทยา" เท่านั้น แม้อาจเกิดแรงต้านต่อสินค้าไทยในระยะสั้น แต่แผนการขยายโรงงานหรือสาขายังคงดำเนินต่อไปได้
กรณีของ CBG ที่มีแผนตั้งโรงงานในกัมพูชา ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ลดต้นทุนและแข่งขันด้านราคากับตลาดในภูมิภาค โดยรูปแบบเดียวกันพบในบริษัทอย่าง OSP ที่ไปตั้งโรงงานในเมียนมา
บล.กรุงศรี เห็นสอดคล้อง โดยนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิจัย ระบุว่า แม้สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อราคาหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจในกัมพูชา แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายจากรัฐบาลกัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจจริง จึงแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะหากมีความรุนแรงมากขึ้นหรือนโยบายรัฐมีท่าทีที่ชัดเจน
โดยสรุปแล้วแม้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาจะสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น แต่ผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ลุกลามสู่ระดับปัจจัยพื้นฐาน ทั้งในด้านรายได้ กำไร หรือการดำเนินธุรกิจ นักวิเคราะห์ยังคงประเมินว่า แผนขยายกิจการของภาคเอกชนในกัมพูชายังไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ณ เวลานี้ โดยประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปคือท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาและการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ หากมีความขัดแย้งยืดเยื้อหรือทวีความรุนแรงขึ้นในระยะถัดไป