CMDF เดินหน้าปรับกลยุทธ์ หนุนตลาดทุนไทยด้วยโครงสร้างพื้นฐาน-องค์ความรู้-นวัตกรรม พร้อมใช้ AI คัดกรองหุ้นศักยภาพสูง และเตรียมเปิดกระดานหุ้นใหม่ใน 3-4 เดือน
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายจักรชัย บุญยะวัตร ผู้จัดการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เปิดเผยว่า CMDF กำลังเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างรอบด้าน เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความผันผวนในระบบการเงินโลก
เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ CMDF มุ่งเสริมสร้างระบบนิเวศของตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่ง ผ่านการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริม องค์ความรู้ด้านการเงินการลงทุน พัฒนา ศักยภาพบุคลากร และสนับสนุน การปรับปรุงกฎระเบียบ ให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ของภาคการเงินการลงทุน ทั้งยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุน งานวิจัยด้านตลาดทุน เพื่อก่อให้เกิด นวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยมุ่งให้ผลการวิจัยเหล่านี้ส่งต่อเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการนำไปปรับใช้เชิงปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
หนึ่งในแนวทางที่ CMDF กำลังดำเนินการเพื่อสร้างความน่าสนใจในตลาดทุนไทย คือการนำนวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการคัดกรอง หุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงและให้อัตราผลตอบแทนปันผลที่น่าสนใจ
นายจักรชัยระบุว่า โครงการดังกล่าวเป็นผลจากความร่วมมือระหว่าง CMDF และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมีเป้าหมายในการจัดทำ ฐานข้อมูลเชิงลึก ของหุ้นกลุ่มเป้าหมาย ให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยนักลงทุนทั่วไป
“หุ้นไทยหลายๆ ตัวยังมีศักยภาพดีมาก เงินปันผลโดยเฉลี่ยก็ยังถือว่าอยู่ในระดับ competitive เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เรามีหุ้นน้ำงามอีกเยอะมากที่เป็นบริษัทขนาดกลางขนาดเล็ก และเป็นหุ้นที่ประชาชนอาจจะยังเข้าไม่ถึง เพราะไม่มีงานวิจัยเข้าไปศึกษา CMDF จึงกำลังหาแนวทางวิธีให้นักลงทุนเข้าถึงหุ้นพวกนี้มากขึ้นด้วยการใช้ AI Screening” นายจักรชัยกล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงาน นายจักรชัยเผยว่า เครื่องมือ AI ดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยคาดหวังว่าจะสามารถระบุหุ้นที่มีผลประกอบการดีและมีแนวโน้มเติบโต เพื่อนำไปสู่การจัดอันดับ จัดทำรายงาน และเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สะดวก
ในส่วนของแนวทางที่ CMDF ได้เริ่มดำเนินการแล้ว คือการสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจ New Economy โดยจัดให้มีกิจกรรมพบปะผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน การจัดสัมมนาเชิงวิชาการ และเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อหลายช่องทาง รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนแก่สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เพื่อจัดกิจกรรมให้ความรู้กับผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับศักยภาพของหุ้นไทย โดยการจัดสัมมนาและจัดทำสื่อคลิปออนไลน์เพื่อเผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุนในวงกว้าง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะทยอยเปิดตัวต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปลายปี
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และประธานกรรมการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ระบุว่า ตลาดทุนไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ความเชื่อมั่นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากเหตุการณ์ทุจริตในอดีต การไหลออกของเงินลงทุนจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนด รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน
ในสถานการณ์เช่นนี้ CMDF จึงรับบทบาทสำคัญในการเป็นกลไกหลักในการพัฒนาและยกระดับ “ระบบนิเวศตลาดทุนไทย” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างธุรกิจด้านการเงินและการลงทุนในอนาคต โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการเงิน การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการสนับสนุนการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ของตลาดทุน โดยวางยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่
นายจักรชัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง โดยเริ่มต้นจากเงินสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 5,700 ล้านบาท และมีรายได้ต่อเนื่องจากการคืนกำไรสุทธิของตลาดฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ต่อปี อีกทั้งยังมีการบริหารกองทุนโดยผู้จัดการภายนอกที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 4-5% ต่อปี ปัจจุบัน CMDF มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ราว 5,800-5,900 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท และสภาพคล่องอีกประมาณ 300 ล้านบาท
ในปี 2567 ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา CMDF ได้ให้ทุนสนับสนุนแก่ 22 โครงการ อาทิ การพัฒนาด้าน ESG การพัฒนาบุคลากรตลาดทุน และการส่งเสริมให้ประชาชนมี Investment literacy เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ นอกจากนี้ ยังได้ให้การสนับสนุนการศึกษาแนวทางการจัดทำนโยบายบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) เพื่อวางรากฐานเชิงโครงสร้างด้านการออมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
ด้าน นายจักรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ปี 2563 - 2567 CMDF ได้อนุมัติโครงการรวม 153 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,928 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ 83 โครงการ ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบนิเวศของตลาดทุนในด้านต่าง ๆ และสอดคล้องกับพันธกิจของ CMDF
นอกจากการศึกษาแนวทางการจัดทำนโยบายบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) แล้ว ในปี 2567 สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน (CMRI) ภายใต้ CMDF ยังได้สนับสนุนงานวิจัยอื่นที่หลากหลาย อาทิ แนวทางการบริหารเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณอายุ การศึกษาเพื่อป้องกันปัญหาการฉ้อโกงในตลาดทุนและแนวทางการปกป้องนักลงทุน แนวทางการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย เป็นต้น
ในด้านการพัฒนานักวิจัย มีโครงการสนับสนุนนักวิจัยรุ่นใหม่ให้สนใจทำงานด้านตลาดทุนเพิ่มขึ้น (Researcher Pool) โดย CMDF ร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สนับสนุนทุนวิจัยในรูปแบบ Matching Fund ให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ด้านตลาดทุนที่เป็นบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาภายใต้สังกัดของกระทรวง อว.
ผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา CMDF ได้ส่งเสริมการพัฒนาองค์กรกว่า 3,500 องค์กร พัฒนาบุคลากรในตลาดทุนรวมกว่า 15,000 คน ส่งเสริมการศึกษาสำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรมทั้งที่เป็น Global และ Local Certificate รวมกว่า 940 ราย เผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนผ่านสื่อออนไลน์ มียอดเข้าถึงกว่า 80 ล้านครั้ง รวมถึงการเผยแพร่งานวิจัยผ่านเว็บไซต์ CMRI รวมกว่า 50 บทความ ยอดเข้าชมมากกว่า 17,300 ครั้ง เผยแพร่งานวิจัยผ่านหน่วยงานต่าง ๆ มากกว่า 600 เล่ม ให้แก่ 30 หน่วยงาน
สำหรับแผนงานสำคัญของ CMDF ในช่วงปี 2568-2569 นายจักรชัย เปิดเผยว่า CMDF เตรียมขับเคลื่อนแผนงานเชิงรุกเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศของตลาดทุนไทย โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนภาคธุรกิจและการพัฒนาความรู้ทางการเงินของประชาชน ภายใต้การดำเนินงานสองแนวทางหลัก ได้แก่ โครงการ Jump+ และแนวคิด Financial Well-being
โครงการ Jump+ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ผ่านการสนับสนุนด้านเงินทุน องค์ความรู้เชิงลึก และการเข้าถึงแหล่งทุนระยะยาว ขณะเดียวกัน โครงการ Financial Well-being จะเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเงิน การออม และการลงทุนแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยต่อยอดจากผลการศึกษาโครงการ TISA ซึ่งได้ส่งมอบให้กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วเพื่อนำไปพิจารณาในเชิงนโยบาย และคาดว่าจะมีการหารือและออก public hearing ตามมาภายหลัง
ในด้านโครงสร้างตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางจัดตั้ง “กระดานซื้อขายหุ้นใหม่” ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้า โดยจะรองรับธุรกิจนวัตกรรม เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ธุรกิจดูแลสุขภาพ (Healthcare) และสตาร์ทอัปที่มีศักยภาพเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และบริษัทลูกที่แยกตัวออกจากองค์กรขนาดใหญ่ (Spin-off)
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ ระบุว่า จุดเน้นของกระดานใหม่จะไม่ใช่ที่ “ปริมาณ” บริษัทที่เข้าจดทะเบียน แต่จะให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” ของธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจแข็งแกร่งและศักยภาพเติบโตระยะยาว เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ และนวัตกรรมด้านสุขภาพ
ปัจจุบันได้มอบหมายให้ ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลท. ศึกษาตัวอย่างโมเดลจากตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์จีน มุมไบ เวียดนาม และ NYSE เพื่อพัฒนากรอบกฎเกณฑ์และออกแบบแพลตฟอร์มซื้อขายที่เหมาะสมกับบริบทของไทย โดยเฉพาะการกำหนดคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน การเปิดให้ซื้อขาย และมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุน
ทั้งนี้ ยังมีแนวทางในการพิจารณาคัดกรองบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไร เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเก็งกำไรหรือการหลอกลวง โดยจะให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีศักยภาพเชิงโครงสร้างแท้จริง มากกว่าจำนวนบริษัท
เพื่อสร้างความมั่นใจและดึงดูดการลงทุนในกระดานใหม่ ตลท. ยังมีแผนใช้กองทุน CMDF จัดตั้ง “กองทุนร่วมลงทุน” (Matching Fund) เพื่อร่วมลงทุนในบริษัทจดทะเบียนใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจนวัตกรรมที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งนี้ Matching Fund จะมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงและสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันเข้ามาร่วมลงทุนในระยะเริ่มต้น
นอกจากนี้ ตลท. และ CMDF ยังอยู่ระหว่างหารือกับสำนักงาน BOI เพื่อจัดทำแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น การยกเว้นเงื่อนไขกำไรต่อเนื่อง 3 ปี และการจัดตั้งกระดานเฉพาะสำหรับธุรกิจ New Economy หรือการยกระดับ LiVE Platform ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของธุรกิจนวัตกรรม
ขณะเดียวกัน ยังมีการพิจารณาปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ การอนุญาตให้มี Dual Transactions และสิทธิในการควบคุมกิจการหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาด ซึ่งอาจต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และการหารือเชิงนโยบายกับกระทรวงการคลัง
แผนงานทั้งหมดนี้ถือเป็นความพยายามเชิงรุกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ CMDF ในการวางรากฐานใหม่ให้กับตลาดทุนไทย โดยเชื่อมโยงนวัตกรรมทางธุรกิจเข้ากับโครงสร้างการเงินที่เข้มแข็ง พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว