Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อำนาจโลกพลิกขั้ว : ไทยเลือกยืนข้างไหน ในระเบียบโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
โดย : พลวัฒน์ รินทะมาตย์

อำนาจโลกพลิกขั้ว : ไทยเลือกยืนข้างไหน ในระเบียบโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม

16 ก.ค. 68
15:40 น.
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

ในระเบียบโลกใหม่ที่อำนาจตะวันตกกำลังถูกท้าทายโดยขั้วอำนาจใหม่เช่นจีนและกลุ่ม BRICS ประเทศไทยไม่ควรเลือกข้างมหาอำนาจ แต่ควรดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สมดุล เป็นมิตรกับทุกฝ่าย และแสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการใช้ประวัติศาสตร์และ Soft Power เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ศ (พิเศษ) เอนก เหล่าธรรมทัศน์

อำนาจโลกพลิกขั้ว : ไทยเลือกยืนข้างไหน ในระเบียบโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม?
โดย  ศ (พิเศษ) เอนก เหล่าธรรมทัศน์

ในสมรภูมิโลกที่กำลังเดือด สงครามเกิดขึ้นเกือบทั่วทุกมุมโลก สงครามการค้าปะทุขึ้นจากปลายปากกาของโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ไม่ยอมจำนน ขู่กลับหากประเทศไหนให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ จะโดนตอบโต้อย่างหนักอีกด้วย ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างรวดเร็วแบบไม่เคยมีมาก่อน ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนปากเหวแห่งการเลือกข้าง ที่ต้องตัดสินใจว่าจะก้าวไปทางไหนในระเบียบโลกใหม่อันสลับซับซ้อนนี้

SPOTLIGHT พาคุณผู้อ่านไปหาคำตอบผ่านมุมมองของ ศ (พิเศษ) เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้ที่ได้เสนอแนวคิด "ระเบียบโลกหลังตะวันตก" Post-Western World  Order มานานกว่าสองทศวรรษ และบทวิเคราะห์ถึงแก่นแท้ของความเปลี่ยนแปลง ในระเบียบโลกใหม่

"ระเบียบโลก" เกมเก่าที่กติกาไม่เหมือนเดิม

ระเบียบโลก (World Order) ที่ถูกครอบงำด้วยมุมมองแบบตะวันตกไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่มีมานานแล้ว โดยตลอดสามศตวรรษที่ผ่านมา อำนาจและทิศทางของโลกถูกกำหนดโดยตะวันตกอย่างเบ็ดเสร็จ 

"ผมคิดว่าโลกจะไม่ถูกควบคุมดูแลชี้นำโดยตะวันตกเท่านั้นแล้ว มันเกิดกระบวนการที่ผมเรียกว่า 'บูรพาภิวัตน์' นี่คือการที่ซีกโลก ซึ่งไม่ใช่ตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นจีน กลุ่ม BRICS อินเดีย รวมถึงเหล่าเสือเศรษฐกิจในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา กำลังผงาดขึ้นมาทวงคืนบทบาทและอำนาจในเวทีโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” ศ.เอนก กล่าว

ภาพอันน่าทึ่งจนต้องขยี้ตาคือการที่อดีตเมืองขึ้นกลับมาผงาดทางเศรษฐกิจแซงหน้าอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างไม่น่าเชื่อ! ลองดูตัวเลข ณ ไตรมาส 1 ปี 2568:

  • สิงคโปร์: GDP โต 3.9% (มูลค่า 563.26 พันล้านดอลลาร์)
  • ฮ่องกง: GDP โต 3.1% (มูลค่า 100.47 พันล้านดอลลาร์)
  • อินเดีย: GDP ทะยานฟ้า 7.4% (มูลค่า 4.187 ล้านล้านดอลลาร์) ขึ้นแท่นเบอร์ 3 เอเชีย และเบอร์ 4 ของโลกแซงหน้าอดีตเจ้าอาณานิคม

ข้อสังเกตทั้ง 3 ประเทศที่เคยเป็นอานานิคมของสหราชอาณาจักร (British Empire) มีการเติบโตของ GDP สูง อย่างมีนัยยะสำคัญ ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP ของสหราชอาณาจักร  มูลค่า 3.839 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 0.5% เท่านั้น

นี่คือหลักฐานที่ชี้ชัดว่า อำนาจไม่ได้จำกัดอยู่ที่ คนขาว หรือ ฝรั่ง ที่ เก่ง ร่ำรวย อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องถอดแว่นตาตะวันตกออก แล้วมองโลกด้วยมุมที่กว้างขึ้น

ไทยจะยืนจุดไหน? ในสมรภูมิแห่งการเลือกข้าง

ปี 2568 คือ ปีชี้ชะตาของการต่างประเทศไทย เพราะสถานการณ์รอบด้าน ทั้งนโยบายที่คาดเดาไม่ได้ของทรัมป์และการผงาดขึ้นของจีน กำลังบีบคั้นให้ไทยต้องเลือกข้าง ท่ามกลางกระแสกดดันจากมหาอำนาจ แต่ท่านได้ให้แนวทางอันเฉียบคมว่าไทยไม่ควรตกอยู่ในกับดักของการเลือกข้างนั้น 

"โลกในยุคระเบียบโลกใหม่ของผมเนี่ย ต้องเป็นโลกที่ไม่ทะเลาะกับใครให้มากที่สุด และต้องหาเพื่อนให้มากที่สุด โดยเฉพาะเพื่อนใหม่ๆ" ศ.เอนก กล่าว

ศ.เอนก กล่าวต่อว่า “นโยบายต่างประเทศของไทยจึงต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่การกระชับมิตรกับมหาอำนาจดั้งเดิมอย่างอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ แต่ต้องกล้าที่จะบุกเบิก ตลาดใหม่ และ เพื่อนใหม่ ที่เราไม่เคยสนใจ เช่นแอฟริกา โดยเฉพาะไนจีเรีย ยักษ์ใหญ่ของทวีป หรือการรื้อฟื้นและกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ซึ่งมีทรัพยากรล้นเหลือและต้องการแสวงหามิตรในเอเชียมากขึ้น หลังถูกโดดเดี่ยวจากฝั่งยุโรป”

สหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่เราควรจะทิ้งจีน จีนก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดทำให้เราต้องทิ้งอเมริกา ทิ้งยุโรป ทิ้งญี่ปุ่นและไม่หาเพื่อนใหม่ๆ ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย มันก็สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เกินกว่าที่เราจะไม่สนใจ การรักษาสมดุลและมองการณ์ไกลจึงเป็นหัวใจสำคัญ ไทยต้องมีนักการทูตและผู้นำที่มีสายตากว้างขวาง และคิดอะไรที่  Unconventional (ไม่เป็นไปตามแบบแผน)  เพื่อให้การต่างประเทศเดินหน้าไปได้ในยุคที่มหาอำนาจไม่ได้มีแต่ตะวันตกอีกแล้ว การเข้าร่วมกลุ่มอย่าง OIC (Organization of Islamic Cooperation) หรือ BRICS จึงเป็นสิ่งที่ไทยต้องให้ความสนใจและเข้าไปสร้างเครือข่าย

แก้ปมเพื่อนบ้าน ด้วยประวัติศาสตร์และพลัง Soft Power

ปัญหากับเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ศ.เอนก ชี้ทางออกว่า ต้องพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความมั่นใจให้คนไทยว่าเราปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติได้

เรียนรู้จากจีน ที่มี "Institutional Memory" อันแข็งแกร่งในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับไทย ท่านยกตัวอย่างที่น่าสนใจ 

“ทหารจีนเสียชีวิตไม่ใช่น้อย ในสงครามอินโดจีนครั้งที่สาม สู้รบกันระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในต้นปี 2522 เพื่อที่จะช่วยไทยให้พ้นจากความตึงเครียดเรื่องเวียดนามขยายตัวเข้ามาในกัมพูชา แล้วก็มาประชิดชายแดนไทย จีนก็ดีใจเสมอที่ไทยเข้าไปช่วยจีนเวลาเกิดอุทกภัย เกิดแผ่นดินไหว ไทยก็ส่งเงินไปสนับสนุนจีน” ศ.เอนก กล่าว

แผ่นดินไหวใหญ่ที่เสฉวน 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ยกตัวอย่างเช่น แผ่นดินไหวใหญ่ที่เสฉวน 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ขนาด 8.0 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 69,000 คน บาดเจ็บอีก 374,000 คน และสูญหายอีก 18,000 คน ไทยส่งความช่วยเหลือไปเป็นประเทศแรก ๆ นี่คือพลังของประวัติศาสตร์ที่สร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของไทยและจีน

เช่นเดียวกันกับเพื่อนบ้านในอาเซียน ไทยควรบอกเล่าเรื่องราวในอดีตที่ไทยเคยให้ที่พักพิงแก่ผู้นำการปฏิวัติและผู้นำต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศเหล่านั้น ในฐานะเป็นชาติเดียวในเอเชียที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ประเทศเพื่อนบ้านที่ต่อสู้เพื่อจะเป็นเอกราชจากอังกฤษ ฝรั่งเศส ก็ต้องมาอาศัยดิน อาศัยน้ำ อาศัยข้าวของประเทศไทย เราก็ควรจะต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ 

“เวียดนามเขาจำได้ไม่ลืมเลยว่าอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เคยช่วยกระบวนการเวียดกง เวียดมินห์
…ในทุกปีเขาจะมาวางหรีด แล้วก็จะพูดถึงเรื่องนี้เขาไม่เคยลืม  รวมถึงการที่ไทยส่งทหารไปช่วยเกาหลีในสงครามเกาหลี เกาหลีเวลาผมไปเจอผู้นำเกาหลี เขาก็ไม่ลืมว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในโลก ที่ส่งทหารมาช่วยเหลือ นอกจากอเมริกาที่ส่งทหารไปช่วยช่วยเกาหลี แล้วเกาหลีก็จะไม่ลืมบุญคุณอันนี้"
ศ.เอนก กล่าว

ในประเด็นการสนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมาหรือกัมพูชา ไทยไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งตามหลักอาเซียน แต่เราสามารถให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการศึกษาได้

ศ (พิเศษ) เอนก เหล่าธรรมทัศน์

ศ.เอนก กล่าวต่อว่า “ประสบการณ์ตรงสมัยเป็น รมว. อว. ที่ได้เดินทางไปพม่า ลาว และกัมพูชา เพื่อมอบทุนการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสาธารณสุขจำนวนมหาศาล แต่ละประเทศผมให้ทุนไปเป็นร้อยๆ ก็ถือเป็นการช่วยงานด้านการต่างประเทศ"

ท่านเน้นย้ำว่า "งานต่างประเทศไม่ได้ทำโดยกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงเดียว แต่กระทรวงอื่นๆ โดยเฉพาะ ฃกระทรวงด้านอุดมศึกษาและสาธารณสุข สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญได้ เพราะการศึกษาไทยเป็นที่ยอมรับของเพื่อนบ้านและระบบสาธารณสุขไทยก็ดีที่สุดในอาเซียน ผู้นำเขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็มารักษาที่ประเทศไทย นี่คือ ปริมณฑลที่เราต้องอย่าลืมว่ามันเป็นการต่างประเทศด้วย"

โซเชียลมีเดีย: พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

ในปัจจุบันเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองต่อต่างประเทศที่ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง  โซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนดาบสองคม แต่การต่างประเทศต้องบริหารจัดการให้ดี และหากมีข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับประเทศอื่นจำเป็นต้องรีบชี้แจงแก้ไข 

ศ.เอนก ให้ความเห็นต่อว่า "เราก็พลิกซะที เอาข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของเรา สิ่งที่เขาไม่ชอบเกี่ยวกับจีนเทาเราก็เอาไปเล่าให้ผู้นำจีนฟัง หรือส่งเสริมให้เยาวชนไปสัมผัสจีนด้วยตัวเอง
พวกที่เป็นห่วงเรื่องอุยกูร์ ก็ลองไปดูที่ซินเจียง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง”

ในประเด็นเรื่องมารยาทสากล และ มุมมองของคนไทยต่อต่างประเทศ ศ.เอนก
ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศอื่นมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเราไม่ได้เข้าใจสถานการณ์อย่างลึกซึ้ง

ท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า คนไทยจำนวนมากมักมีมุมมองที่ว่าต่างประเทศดีเลิศกว่าประเทศไทย อย่างไม่มีเหตุผล แต่ประสบการณ์จะสอนให้เราตระหนักถึงคุณค่าของประเทศเราเอง 

"ถ้าเขาได้ไปเที่ยวต่างประเทศมากมาก เขากลับมีความรู้สึกว่าประเทศไทยนั้นดี ต่างประเทศถึงจะดี แต่ก็มีข้ออะไรที่ที่เราไม่อยากจะอยู่ในประเทศนั้น ให้ไปเที่ยวอย่างเดียวพอได้ แต่ไปเที่ยวอย่างเดียวเราก็ต้องรู้จักระมัดระวังตัว และเราก็จะรู้สึกว่าเอ้ยประเทศไทยนี่มันมีความปลอดภัยเยอะนะ แล้วก็ไอ้คดีอะไรต่ออะไรที่มันเกิดในหลายประเทศเราก็ไม่มีใช่ไหม" ศ.เอนก กล่าว

บทเรียนสำคัญที่ ศ.เอนก เน้นย้ำว่าเราต้องสอนคนไทยให้รู้จักสถานะที่แท้จริงของประเทศไทย และ ความเป็นไปของประเทศเราในบริบทของโลก เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่เป็นกลางและเห็นคุณค่าในสิ่งที่ประเทศเรามี


โลกาภิวัตน์ถึงทางตัน? "เศรษฐกิจพอเพียง" คือทางรอด

ในประเด็นประเทศไทยขอเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ท่ามกลางกระแสข่มขู่จากอเมริกา 

ศ.เอนก คลายความกังวลว่า "กลุ่ม BRICS ไม่ได้แอนตีอเมริกัน แล้วก็ทรัมป์ก็เป็นความเห็นหนึ่งของคนอเมริกันเท่านั้น แล้วเราไปตกใจเกินไปมันก็อาจจะทำให้เราทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วเราก็จะกลัวคนที่เสียงดัง  BRICS กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและแซงหน้า G7 ในหลายมิติ ขณะที่แม้ใน G7 เองก็เริ่มมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกับสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อยๆ การดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ตนเอง กำลังทำให้ อเมริกาทำตัวจนเองเพื่อนหายไปเรื่อยๆ"

ศ.เอนก วิเคราะห์ถึงกลับมาของทรัมป์ แม้จะดูเหมือนเป็น Outlier หรือสิ่งที่ผิดแปลกไปจากระเบียบโลกเสรีนิยมที่ดำเนินมานาน แต่ย่อมส่งผลกระทบอย่างแน่นอน

“คนอเมริกันเริ่มตระหนักแล้วว่าหากไม่เปลี่ยนแปลง อเมริกาจะอ่อนแอและถดถอยลงไปเรื่อยๆ สาเหตุหนึ่งคือผลพวงจากโลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่รุนแรงเกินไป ทำให้อเมริกาขาดความรอบด้านในการผลิต แม้แต่เรือรบที่ทันสมัยก็ต้องไปจ้างจีน เกาหลี หรือญี่ปุ่นต่อโครงสร้างพื้นฐาน แล้วค่อยนำกลับมาประกอบชิ้นส่วนไฮเทค (High-Tech) ในประเทศ ซึ่งต่างจากจีนที่มีซัพพลายเชน  (Supply Chain) ขนาดใหญ่และครบวงจร สามารถผลิตได้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ”

ศ.เอนก เสนอแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นสิ่งที่ควรเร่งนำมาใช้และเผยแพร่ เพราะการแบ่งงานที่มากเกินไปจนประเทศหนึ่งพึ่งพาการผลิตจากภายนอกมากเกินไปนั้น ทำให้เกิดความไม่มั่นคงสูง อเมริกาเองก็ควรกลับมาให้ความสำคัญกับภาคการผลิตพื้นฐาน แม้จะมีต้นทุนสูง ก็อาจต้องมีการ "ซับซิไดซ์" (Subsidize) เพื่อรักษาความสามารถในการผลิตสิ่งจำเป็น เช่น เหล็กกล้า หรือแร่หายากที่ปัจจุบันพึ่งพาจีนเกือบทั้งหมด

ในโลกที่มีความขัดแย้ง ประเทศจะอยู่รอดได้ด้วย อาหารและที่อยู่อาศัย ประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องอาหาร ซึ่งแตกต่างจากบางประเทศอย่างรัสเซียที่อาหารมีจำกัด ยกตัวอย่างเช่นซาอุดีอาระเบียที่ต้องการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร โดยอยากให้ประเทศไทยเข้าไปมีความร่วมมือด้านอาหารเข้าไปช่วยพัฒนาแหล่งผลิตอาหารในซาอุฯ แอฟริกา เพื่อแลกกับทรัพยากรที่ไทยเรายังต้องพึ่งการนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นโมเดลความร่วมมือที่น่าสนใจ

ศ.เอนก สรุปว่า “โลกยุคใหม่นี้ทำให้เราต้องคิดใหม่เรื่องโลกาภิวัตน์ และในการต่างประเทศ เราจำเป็นต้องรู้ภาษาอื่นๆ มากขึ้น นอกเหนือจากภาษาอังกฤษและจีน เพื่อขยายโอกาสและความร่วมมือในมิติที่หลากหลายยิ่งขึ้น”

แชร์
อำนาจโลกพลิกขั้ว : ไทยเลือกยืนข้างไหน ในระเบียบโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม