Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ศาลฎีกา สั่งคุก วิฑูรย์ นามบุตร" อดีตรมต. 3 ปี คดีเรียกรับสินบน 30ล้าน

ศาลฎีกา สั่งคุก วิฑูรย์ นามบุตร" อดีตรมต. 3 ปี คดีเรียกรับสินบน 30ล้าน

1 พ.ย. 68
18:00 น.
แชร์

ศาลฎีกา สั่งคุก "วิฑูรย์ นามบุตร" อดีตรัฐมนตรี ค่ายประชาธิปัตย์ 3 ปี คดีเรียกรับสินบน 30 ล้าน จากสส.ดัง แลกงานรับเหมา 

วันที่ 1 พ.ย. 68  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 68 ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 3 ปี นาย วิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอดีต สส.อุบลราชธานี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จำเลยที่ 1 พร้อมพวกอีก 4 ราย 

โดยคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือน พ.ค. 2556 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ถึง 2557 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานของรัฐ และสมาชิสภานิติบัญญัติของรัฐนิติบัญญัติแห่งรัฐ 

ตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมายการควบคุมการบริหารงานราชการแผ่นดินของ รัฐบาล พิจารณาให้ความเห็นชอบในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 และในเรื่องสำคัญต่างๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติ เพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบ 

ได้เรียกเงินจาก นางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย 30,000,000 บาท สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ 1 ในสถานะ สส.บัญชีรายชื่อ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ.2557 จะมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของหน่วยงานของรัฐมาลงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคใต้ 

และจำเลยที่ 1 มีโควตาของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานก่อสร้างในโครงการดังกล่าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก 

โดยจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างและให้ผู้เสียหายร่วมดำเนินการในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ที่จำเลยที่ 1 ได้รับโควตาจากทางราชการดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยเป็นผู้รับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 หลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท อันเป็นการกระทำการการใด ๆ โดยทุจริตในลักษณะใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเหตุเกิดที่ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ตำบลบุ่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน 

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 , 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 192 จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ 

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ 

สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น 

เห็นว่า บุคคลที่จะมีความผิดตามมาตราดังกล่าว นอกจากจะต้องเป็นบุคคลตามตำแหน่งที่ระบุไว้ และมีการกระทำเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ยังต้องมีเจตนาพิเศษเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดด้วย คือ กระทำไปเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ 

แต่ตามคำฟ้องได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 มีโควตางานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภค และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐจำนวนมาก หากผู้เสียหายต้องการร่วมดำเนินการงานโครงการก่อสร้างดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 30,000,000 บาท 

แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดของมาตราดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 

ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 นั้น 

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า โจทก์มีนางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความว่า นายสมเดช แสวงสาย น้องเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 และเรียกรับเงินโดยอ้างชื่อจำเลยที่ 1 

ผู้เสียหายให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช. ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 จำเลยที่ 1 ในฐานะ ส.ส. จังหวัดอุบลราชธานี และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2557 แจ้งว่าสามารถวิ่งเต้นผลักดันงบประมาณโครงการก่อสร้างของรัฐไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ได้ โดยห้างหุ้นส่วนของจำเลยมีโควตาโครงการจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจำนวนมาก จึงชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมดำเนินการ และเรียกเงิน 30,000,000 บาท 

ผู้เสียหายได้จ่ายเงินจริงให้จำเลยที่ 1 หลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงพฤษภาคม 2557 รวม 9,600,000 บาท ผู้เสียหายให้ถ้อยคำครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 (ภายหลังยื่นหนังสือกล่าวหาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ราว 2 เดือน) ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เรียกรับเงินเอง และให้จ่ายตามวิธีที่จำเลยกำหนด รวม 20 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานการจ่ายเงิน 

ต่อมาวันที่ 20 มิ.ย. 2561 ผู้เสียหายให้ถ้อยคำอีกครั้ง ยืนยันข้อเท็จจริงเดิม โดยไม่พบว่าผู้เสียหายมีเหตุโกรธเคืองหรือเจตนาปรักปรำจำเลย เพราะเคยรู้จักและช่วยเหลือจำเลยทางการเมืองมาก่อน ศาลจึงเชื่อว่าผู้เสียหายให้ถ้อยคำตามความจริง 

ส่วนที่ผู้เสียหายภายหลังอ้างในชั้นศาลว่านายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินแทนจำเลยที่ 1 นั้น ศาลเห็นว่าเป็นการกล่าวภายหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงกันได้ และผู้เสียหายทำหนังสือถอนคำร้องทุกข์ไม่ติดใจดำเนินคดีแล้ว 

ทั้งที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายรู้จักนายสมเดชเป็นเวลากว่า 10 ปี หากนายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายจริง ผู้เสียหายก็น่าจะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนตั้งแต่ในคราวแรกแล้ว เนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ผู้เสียหายย่อมรู้มาก่อนที่จะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวน มิใช่เพิ่งมาเบิกความกล่าวอ้างในชั้นไต่สวนของศาลเช่นนี้ 

คำเบิกความของผู้เสียหายยังมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อให้สมกับข้ออ้างตามคำให้การของจำเลยที่ 1 จึงเป็นพิรุธ ปราศจากความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อว่าการที่ผู้เสียหายเบิกความกลับถ้อยคำเดิมของตนที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวนนั้น เป็นไปเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ถ้อยคำเดิมของผู้เสียหายที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์จากการไต่สวนจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง 

ส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย แต่เป็นนายสมเดช เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้าง ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายและแจ้งผู้เสียหายให้โอนเงินแก่นายสมเดชนั้น ก็เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอย ปราศจากพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างแต่ยากแก่การรับฟัง เนื่องจากนายสมเดชถึงแก่ความตายไปแล้ว ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงใดให้บุคคลอื่นรับรู้ได้ 

และข้ออ้างดังกล่าวยังขัดต่อเหตุผล เนื่องจากลำพังนายสมเดชไม่น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะอ้างชื่อจำเลยที่ 1 เองจนทำให้ผู้เสียหายเชื่อถือถึงขั้นยอมโอนเงินให้เป็นจำนวนสูงมากเช่นนี้ โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่เคยติดต่อกับผู้เสียหาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ 

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท โดยอ้างต่อผู้เสียหายว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะ สส.อุบลราชธานี และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 สามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ แล้วจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย 

เป็นเหตุให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามวิธีที่จำเลยที่ 1 แจ้งหลายครั้ง ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2556 ถึงเดือน พ.ค. 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท 

ดังนี้ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง สส. และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ และเรื่องสำคัญต่างๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานรัฐขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบได้ 

การที่จำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสจากการที่ตนมีอำนาจหน้าที่ไปเรียกรับเงินแล้วเสนอผลตอบแทนให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท เป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อันส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของจำเลยที่ 1 โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และเป็นการกระทำโดยทุจริตแล้ว 

การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า สำหรับความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย 

ส่วนความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ข้อเท็จจริงได้ความตามทางไต่สวนว่า หลังจากจำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท แล้ว ผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 หลายครั้ง ตามวิธีการที่จำเลยที่ 1 แจ้ง ซึ่งการจ่ายเงินในบางครั้งจะมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้รับเงินแทนจำเลยที่ 1 

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จะมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้บัญชีเงินฝากรับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้งนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายมากน้อยเพียงใด

 

นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการรับเงินแทนจำเลยที่ 1 หรือมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด 

จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 

อนึ่ง ภายหลังการกระทำความผิด มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ โดยมาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2542 แต่ มาตรา 172 ยังคงบัญญัติให้การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดและมีโทษเท่าเดิม 

จึงต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง 

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุก 3 ปี 

ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 

ทั้งนี้นายวิฑูรย์ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว และศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์

Advertisement

แชร์
ศาลฎีกา สั่งคุก วิฑูรย์ นามบุตร" อดีตรมต. 3 ปี คดีเรียกรับสินบน 30ล้าน