
วันที่ 18 พ.ย. 68 นาย วัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก “วัส ติงสมิตร” ระบุว่า “ทักษิณต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาทในการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กลุ่มเทมาเสก”
วันนี้ (จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2568) สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า “ทักษิณ” อ่วม ศาลฎีกาพิพากษากลับยกฟ้อง คดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากรให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กลุ่มเทมาเสก ชี้การให้ "โอ๊ค-เอม" ถือหุ้นแทน ถือว่ามีวัตถุประสงค์ขาดคุณธรรมทางภาษี เพื่อให้รัฐเก็บภาษีไม่ได้ เป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง ทำให้ทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629.58 ล้านบาท พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีข้อมูลและความเห็นดังนี้
1)เดิมกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้ 17,629.57 ล้านบาท จากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา บุตรนายทักษิณ แต่บุคคลทั้งสองต่อสู้ว่าผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือนายทักษิณ เพราะเป็นเจ้าของหุ้นและได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้บุคคลทั้งสองชนะคดี กรมสรรพากรไม่อุทธรณ์ และไม่ยอมออกหมายเรียก และประเมินภาษีจากนายทักษิณผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริง ทั้งที่ยังอยู่ในกำหนดเวลาที่สามารถออกหมายเรียกและประเมินภาษีได้
ต่อมาเดือนมีนาคม 2560 ในขณะที่คดีจะครบอายุความ 10 ปี ที่จะประเมินภาษีจากนายทักษิณ รัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้แจ้งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีจากนายทักษิณตามคำแนะนำของ สตง. กรมสรรพากรจึงประเมินภาษี 17,629.58 ล้านบาทจากนายทักษิณ
2) นายทักษิณจึงฟ้องกรมสรรพากรและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้เพิกถอนการประเมิณ โดยอ้างว่าว่ากรมสรรพากรไม่ได้ออกหมายเรียกตนก่อนประเมินภาษี จึงประเมินภาษีตนไม่ได้ เป็นคดีนี้
3) ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษา (ในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 หรือ คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม2565) เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากรมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ กรมสรรพากรกับพวกอุทธรณ์
4) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา (ที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2566) ยืนตามศาลภาษีอากรกลาง
กรมสรรพากรกับพวกฎีกา
5) ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรเห็นว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตนโดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6890/2568)
6) อาจกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ศาลฎีกาพบว่า ทักษิณ “ปกปิด”การถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น โดยให้บุคคลอื่น (รวมถึงลูก คือ พานทองแท้ และ พินทองทา) ถือหุ้นแทนเขา
เหตุผลที่ให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทน “เพราะประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง” — ซึ่งตามกฎหมายห้ามให้เขาถือหุ้น ชินคอร์ปขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจตนาของธุรกรรม ศาลฎีกามองว่าโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าว “ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี” (tax avoidance) และ “ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร” โดยเฉพาะเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้รัฐจัดเก็บภาษีได้อย่าง “ถูกต้องและแน่นอน”
ศาลฎีกาเห็นว่าการทำธุรกรรมนี้เป็น “ธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้” ซึ่งแสดงว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจปกติ (เช่นการลงทุน, การขยายกิจการ) แต่เน้นหลีกเลี่ยงภาษี
นอกจากนี้ ศาลฎีการะบุว่าเป็น “ธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง” (severely unlawful) ในมุมภาษีอากร
ผลทางกฎหมาย — เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
แม้จะมีประเด็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรอาจไม่สมบูรณ์ในกระบวนการ (เช่น เรื่องหมายเรียก) แต่ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ของนายทักษิณในฐานะตัวการไม่เปิดเผยชื่อย่อมต้องผูกพันต่อการออกหมายเรียกและการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรมีสิทธิบังคับนายทักษิณผู้เป็นตัวการให้รับผิดในหนี้ภาษีอากรที่นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทาในฐานะตัวแทนทำขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 820 ไม่มีเหตุให้งดหรือให้ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม” แก่นายทักษิณ — เพราะการกระทำเบื้องหลังเป็นธุรกรรมหลบเลี่ยงภาษีอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงยกฟ้องโจทก์ (นายทักษิณ) — หมายถึงไม่เพิกถอนการประเมินภาษี และให้กรมสรรพากรดำเนินการเก็บภาษีตามที่เรียกมา ยอดเงินภาษีที่ต้องจ่าย
นายทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629.58 ล้านบาท พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีอากร
วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
17 พฤศจิกายน 2568
Advertisement