แม้จะเริ่มปีด้วยความผันผวน แต่ตลาดหุ้นไทยเดือนเมษายน 2568 ส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับนักลงทุนอีกครั้ง หลัง SET Index ปิดที่ 1,197.26 จุด เพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการฟื้นตัวที่แรงกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค และแม้ดัชนียังติดลบ 14.5% หากนับจากต้นปี แต่หลายสัญญาณก็เริ่มบ่งชี้ว่า “ความหวังได้เริ่มกลับมา”
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทสไทย พบว่า หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ คือการที่สหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษี reciprocal tariff ออกไปอีก 90 วัน เมื่อวันที่ 10 เมษายน จุดนั้นทำให้ความกังวลต่อสงครามการค้าลดลง ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ออกมาตรการพิเศษชั่วคราวระหว่างวันที่ 8-11 เม.ย. เพื่อควบคุมความผันผวน จนทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีเสถียรภาพมากกว่าหลายตลาดในเอเชีย
หลังพ้นช่วงมาตรการของตลาดฯดังกล่าว นักลงทุนเริ่มเห็น “สีเขียว” บนกระดานมากขึ้น หุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกกระจายในหลายอุตสาหกรรม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แม้ภาพรวม YTD ดัชนียังติดลบ แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ outperform ตลาดคือ กลุ่มการเงิน เกษตรและอาหาร ทรัพยากร และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาให้ความสนใจ “พันธบัตรไทย” โดยมี Fund Flow ไหลเข้าสุทธิราว 6 หมื่นล้านบาทในเดือนเมษายน สูงสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2565 สะท้อนการแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของดอลลาร์และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า
เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชีย SET ยังถือว่ามี Valuation ที่น่าสนใจ โดย Forward P/E อยู่ที่ 13 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค (11.5 เท่า) และให้อัตราปันผลถึง 4.00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดเอเชียที่ 3.40% จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายบริษัทเริ่มประกาศแผน “ซื้อหุ้นคืน” เพื่อเสริมความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้น ท่ามกลางราคาหุ้นที่ยังต่ำกว่าพื้นฐานในหลายตัว
ภาครัฐยังเดินหน้าสนับสนุนตลาดทุน โดยเปิดให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนใน “กองทุน Thai ESGX” ตลอดเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน หนุนเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งครอบคลุมถึง 310 บริษัทในตลาด
ดังนั้น เมษายน 2568 อาจถือเป็นเดือนแห่งการ “เริ่มต้นใหม่” ของตลาดหุ้นไทย จากที่เคยถูกมองว่าเป็นตลาดที่ผันผวนที่สุดในภูมิภาค กลับกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ฟื้นตัวได้และมีเสถียรภาพมากขึ้น จับตาสถานการณ์เศรษฐกิจไทย การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และหากมาตรการภาครัฐยังต่อเนื่อง ความตื่นตัวของนักลงทุนเพิ่มขึ้น ปัจจัยภายนอกคลี่คลาย หุ้นไทยก็อาจกลายเป็น“ดาวเด่น”ได้อีกครั้ง
ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย