
เหล่ากูรูต่างมองตรงกันว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธที่ 29 มี.ค.2566 นี้คาดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% ต่อปี
คาดว่าเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้
ในการประชุมกนง.ครั้งนี้ คาดว่า กนง.อาจจะปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติดีขึ้น จากการประชุมเดือนธันวาคม
ส่วนคาดการณ์ยอดการส่งออกอาจถูกปรับลง ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยจะสอดคล้องกับรายงานข้อมูลการค้าระหว่างประเทศในช่วงนี้ ที่ตลาดประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกุมภาพันธ์ จะยังคงหดตัว -7 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) จะขยายตัว +2%y/y ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวได้ดี ทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลเกือบ -2 พันล้านดอลลาร์ได้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีปัจจัยที่จะต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง.รายงานเศรษฐกิจการเงิน ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเซีย
รวมถึง จับตาวิกฤตภาคธนาคารสหรัฐ และยุโรป ซึ่งส่งผลให้ภาวะตลาดเงินที่ยังมีความเสี่ยงและเปราะบาง โดยในช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในรอบ 1,550-1,620 จุด แม้ธนาคารกลางสหรัฐจะออกมาตรการที่รวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงวิกฤตที่จะลุกลามได้ดีด แต่ยังประเมินว่า ตลาดการเงินโลกยังคงมีความเสี่ยงและเปราะบาง จากผลกระทบวิกฤตธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรปที่ต้องติดตามต่อไป
โดยน.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “SPOTLIGHT” ว่า ประเมิน กนง.ในการประชุมครั้งนี้(29 มี.ค.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% แต่คาดว่าเสียงของกนง.จะแตก ไม่ได้เป็นเอกฉันท์ เพื่อจะส่งสัญญาณหยุดพักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน พ.ค.2566 นี้
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดกนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เช่นเดียวกัน และจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ผลจากแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนก.พ.ล่าสุด อยู่ที่ 3.8% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธปท.ที่ 1-3% โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปีนี้จะกลับมาอยู่ในกรอบเป้าหมายของกนง. ที่ราว 2.8%
ขณะที่ Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน มองว่า กนง.) จะมีมติเป็นเอกฉันท์ “ขึ้น” ดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 1.75%
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เฟดจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อและอาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25% แต่ตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลง ท่ามกลางความกังวลปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคาร
แนะควรจับตา ความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในอนาคต
โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เฟดจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อและอาจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25% แต่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยลง ท่ามกลางความกังวลปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคาร
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตา ความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในอนาคต
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก ที่น่าสนใจ ดังนี้
ล่าสุด ความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลางว่าจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนแตะจุดสูงสุด (Terminal Rate) ณ ระดับใด
ขณะที่ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอ็กซ์ จำกัด มองว่า SET ในช่วงสั้น จะแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,620 จุด แม้จะออกมาตรการรวดเร็วของธนาคารกลางจะช่วยลดความเสี่ยงวิกฤตจะลุกลามได้ดี แต่มองว่าวิกฤตการเงินโลกยังมีความเสี่ยงและเปราะบาง แนะนำให้เลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัว
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท ธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิด(27 มี.ค.) อยู่ที่ 34.22 อ่อนค่าจาก 34.12 ท้ายสัปดาห์ก่อน และมองกรอบวันนี้ที่ระดับ 34.05-34.35 บาท/ดอลลาร์ จากการที่ตลาดมีความวิตกเรื่องภาคธนาคารยุโรป และเข้าถือครองเงินดอลลาร์และเยน
ด้าน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า เงินบาท มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways โดยมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้น หรือ ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอด้วยโฟลว์ซื้อสกุลเงินต่างประเทศของบรรดาผู้นำเข้าและบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่น (Japanese MNCs) นอกจากนี้ สัญญาณเชิงเทคนิคัล ทั้ง RSI และ MACD ยังชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัว sideways ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วันในช่วงนี้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อ PCE ออกมาสูงกว่าคาด และผู้เล่นในตลาดได้คลายกังวลปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคาร แต่หากตลาดยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลดังกล่าว เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นได้ ในกรณีที่ ความกังวลอยู่ที่ฝั่งธนาคารยุโรปมากกว่าฝั่งสหรัฐฯ (กดดันสกุลเงินฝั่งยุโรปอ่อนค่าลง) ทั้งนี้ ทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ผู้เล่นในตลาดต้องการถือมากกว่าเงินดอลลาร์ได้ หากตลาดปิดรับความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม แนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.90-34.50 บาท/ดอลลาร์