โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ประกาศว่า สหรัฐฯจะไปแย่งงานชาติอื่นกลับมา หากว่าเขาชนะเลือกตั้ง โดยเขาจะใช้แผนการตัดลดภาษี ลดราคาพลังงาน และลดข้อจำกัดต่างๆของผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในแผ่นดินสหรัฐฯ เพื่อหวังดึงดูดนักลงทุนชาวอเมริกัน
ทรัมป์กล่าวระหว่างลงพื้นที่หาเสียงที่เมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจียเมื่อวานนี้ (24 กันยายน) ให้คำมั่นว่า เขาจะสร้างยุคเรเนสซองซ์ หรือยุครุ่งเรืองของภาคการผลิตขึ้นมาอีกครั้ง และเขาจะลงโทษบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ไปตั้งฐานการผลิตนอกประเทศ รวมถึงจะตั้งกำแพงภาษีที่สูงมากต่อสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
เรื่องการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากต่างชาติเป็นสิ่งที่ทรัมป์พูดมาตลอดลงพื้นที่หาเสียง แต่เมื่อวานนี้ เขาได้เปลี่ยนมาพูดถึงประเด็นการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น โดยทรัมป์บอกว่า เขาจะเสนอจัดตั้งเขตพิเศษที่มีภาษีต่ำมากและไม่มีข้อจำกัดที่วุ่นวาย เพื่อให้บริษัทต่างๆย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ และภายใต้แผนการของเขา แรงงานชาวอเมริกันจะไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแย่งงานจากชาวต่างชาติ กลับกัน ต่างชาติจะต้องกังวลว่าจะเสียงานให้กับอเมริกาแทน
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เสนอที่จะขึ้นกำแพงภาษี 10 เปอร์เซ็นต์กับสินค้านำเข้าทั้งหมด และ 60 เปอร์เซ็นต์ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งจะทำให้กำแพงภาษีของสินค้านำเข้าทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 2.5 เปอร์เซ็นต์เป็น 4.3เปอร์เซ็นต์ และสินค้าจากจีนจะเจอภาษีไปถึงราว 12 เปอร์เซ็นต์
โพลชี้ชาวอเมริกันเป็นกังวลเรื่องเศรษฐกิจ
ทรัมป์และกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันและผู้ท้าชิงประธานาธิบดีจากแดโมแครต กำลังเดินหน้าเปิดเผยนโยบายด้านเศรษฐกิจในช่วงสุดท้ายของการหาเสียง ก่อนการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โดยนโยบายเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจมากที่สุด และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งบอกว่า เป็นประเด็นที่น่ากังวลที่สุดสำหรับการเลือกตั้ง
สำหรับแฮร์ริส คาดว่าเธอจะแสดงสุนทรพจน์หลักเพื่อประกาศนโยบายหาเสียงของเธอที่เมืองพิตต์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ในวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น
โพลหลายสำนักแสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันเป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจมาก และผู้มีสิทธิ์จำนวนมากมองว่าทรัมป์น่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่าแฮร์ริส โดยโพลจาก CBS News / YouGov Poll เปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์มีความนิยมนำแฮร์ริสอยู่ที่ 53 – 47 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า แฮร์ริสมีคะแนนตีตื้นมาได้ เพราะเมื่อเดือนสิงหาคม เธอยังได้รับความนิยมในด้านเศรษฐกิจเพียงแค่ 43 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น