
หลายประเทศทั่วโลกกำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปี 2569 หรือในปีหน้า โดยไทยเองจะเป็นหนึ่งนั้น หลังนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศยุบสภาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ต้องมีการจัดเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ซึ่งคาดการณ์กันว่า การเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึง
Spotlight รวบรวมการเลือกตั้งของประเทศที่น่าสนใจ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้าเช่นกัน โดยผลลัพธ์ของการเลือกตั้งจากประเทศเหล่านี้ น่าจะส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังผันผวนอย่างหนัก ท่ามกลางสงคราม และการบริหารประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐฯ โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีซึ่งมีบุคลิกยากจะคาดเดา
เมียนมาจะเป็นประเทศที่จะเริ่มเลือกตั้งก่อนใคร โดยการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารชุดนี้ประกาศขึ้น จะเริ่มตั้งแต่ห้วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า โดยมีโรดแมป (Roadmap) 6 ห้วงเวลาหลัก ได้แก่
1. การเลือกตั้งรอบแรก 28 ธันวาคม 2568
2. การเลือกตั้งรอบที่สอง 11 มกราคม 2569
3. การเลือกตั้งรอบที่สาม 25 มกราคม 2569
4. ประกาศผลเลือกตั้ง ภายใน 90 วันหลังการเลือกตั้ง
5. การเปิดประชุมรัฐสภา เดือนกุมภาพันธ์ 2569 และ
6. การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ 1 เมษายน 2569 (ตรงกับวันเริ่มต้นวงจรงบประมาณใหม่)
ทั้งนี้ จะมีการจัดเลือกตั้งครอบคลุม 267 เมือง จากทั้งหมด 330 เมือง (Township) คิดเป็น 80% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีพื้นที่ยกเว้นอีก 63 เมืองที่รัฐบาลทหารประเมินดูแล้วไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม เกณฑ์ลงคะแนนตามกรอบรัฐธรรมนูญ ปี 2551 ก็ไม่ได้ระบุเกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ นั่นหมายความว่า แม้จะมีผู้มาลงคะแนนเพียงน้อยนิด การเลือกตั้งยังถือว่าสมบูรณ์ตามกฎหมาย ฉะนั้น การรณรงค์คว่ำบาตรเลือกตั้งหรือไม่ลงคะแนนเสียงของฝ่ายต่อต้านจึงไม่ส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วประเทศในวันเดียว แต่รัฐบาลเนปิดอว์ได้แบ่งเวลาเลือกตั้งออกเป็น 3 ขยัก เพื่อทยอยรวบรวมคะแนนเสียงทีละครั้งจนเบิกทางไปสู่การเปิดรัฐสภาและเลือกประธานาธิบดีในอันดับถัดไป
รัฐสภาส่วนกลางของเมียนมา มีจำนวน ส.ส. ทั้งสิ้นไม่เกิน 664 คน แบ่งเป็นสมาชิกสภาประชาชน 440 คน (มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจาก 330 เมือง และ มาจากนายทหารที่ได้รับการคัดเลือกเสนอชื่อจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีก 110 คน) กับสมาชิกสภาชนชาติอีก 224 คน (มาจากการเลือกตั้งในรัฐและภาคทั้ง 14 แห่ง รวม 168 ที่นั่ง และมาจากนายทหารที่ถูกคัดเลือกเสนอชื่อจาก ผบ.ทสส. อีก 56 ที่นั่ง) จากโครงสร้างดังกล่าว กองทัพเมียนมาซึ่งมี ส.ส. ทหารอยู่ในสังกัดรวม 166 คน หรือ 25% ของ จำนวน ส.ส.ในสภาแห่งชาติ พร้อมมี “Connection” ต่อติดกับพรรคสหสามัคคีและการพัฒนาสหภาพ หรือ พรรค USDP (Union Solidarity and Development Party) (ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดในการเลือกตั้งครานี้) จึงมีโอกาสสูงที่จะเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกประธานาธิบดีคนใหม่อันจะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลและเริ่มงานบริหารประเทศ
อิสราเอลกำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 27 ตุลาคม 2569 โดยเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนปัจจุบัน ประกาศว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง และบอกด้วยว่า เขาน่าจะคว้าชัยได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของอิสราเอลเมื่อปี 2565 พรรคลิคุด (Likud) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาของเนทันยาฮูชนะการเลือกตั้ง 32 ที่นั่ง และเนทันยาฮูได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกคเนสเซต (Knesset) หรือรัฐสภาอิสราเอล จำนวน 64 คน จากทั้งหมด 120 ที่นั่ง ให้มีคุณสมบัติในการจัดตั้งรัฐบาล ก่อนจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน และเป็นผู้นำรัฐบาลผสมฝ่ายขวาจัดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม คะแนนความนิยมของเขาเริ่มลดลงในช่วงทำสงครามกาซา และตัวเขาเองก็มีคดีความที่ล่าสุด เขาเพิ่งออกมาขอให้นิรโทษกรรมตัวเอง
สหรัฐฯ กำลังจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2569 โดยจัดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งประเทศ การเลือกตั้งครั้งนี้จะชิงเก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 ที่นั่ง และวุฒิสมาชิกอีก 35 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง
การเลือกตั้งกลางเทอมเช่นนี้ถือว่ามีความสำคัญ เพราะเกิดขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ มาแล้วสองปี ก่อนที่การเลือกตั้งครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในปี 2571 อย่างไรก็ตาม กระแสความนิยมในตัวทรัมป์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Reuters และ Ipsos จัดทำแบบสำรวจความนิยมของทรัมป์ พบว่า อยู่ในจุดต่ำที่สุด นับตั้งแต่เขาเริ่มรับตำแหน่งสมัยสองเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของทรัมป์มีจำนวนเพิ่มขึ้น
คะแนนไม่เห็นด้วยกับทรัมป์เพิ่มขึ้นจาก 52 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็น 58 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนคะแนนเห็นด้วยยังคงอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขเดิมกับในช่วงเดือนพฤษภาคม
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งถัดไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2571 แม้ทรัมป์จะไม่มีสิทธิลงสมัครชิงตำแหน่งแล้ว เนื่องจากดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศครบสองสมัยแล้ว แต่คะแนนความนิยมในตัวทรัมป์ที่ลดลงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อคะแนนของพรรครีพับลิกัน และผู้ท้าชิงคนถัดไปจากพรรครีพับลิกัน