Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยเป็นเจ้าภาพประชุม'IMF-World Bank'ในรอบ35ปี คุยอะไร? ไทยได้อะไรบ้าง?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ไทยเป็นเจ้าภาพประชุม'IMF-World Bank'ในรอบ35ปี คุยอะไร? ไทยได้อะไรบ้าง?

11 ธ.ค. 68
11:00 น.
แชร์

ประเทศไทยกำลังเตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปี IMF-World Bank Group (IMF–WBG Annual Meetings 2026) หนึ่งในเวทีประชุมด้านเศรษฐกิจและการเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ระหว่างวันที่ 12-18 ตุลาคม 2569 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การกลับมาของการประชุมครั้งนี้ถือเป็นรอบ 35 ปี หลังจากไทยเคยเป็นเจ้าภาพครั้งล่าสุดในปี 2534 และทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในสามประเทศที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพมากกว่าหนึ่งครั้ง สะท้อนทั้งบทบาท ความสำคัญ และศักยภาพด้านเศรษฐกิจของประเทศที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลก

นอกจากจะเป็นเวทีหารือเชิงนโยบายระดับสูง การประชุมยังดึงดูดรัฐมนตรีคลัง ผู้ว่าการธนาคารกลาง ผู้บริหารองค์กรการเงินระหว่างประเทศ นักลงทุน นักวิชาการ และสื่อมวลชนจากกว่า 191 ประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 15,000 คน การมารวมตัวของผู้นำความคิดเหล่านี้ทำให้ไทยมีโอกาสแสดงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภาคบริการ การอำนวยความสะดวก รวมถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ท่ามกลางบริบทเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญความผันผวนอย่างต่อเนื่อง

IMF-WBG “Olympics of Finance” เวทีสำคัญกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก

การประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (WBG) ถือเป็นหนึ่งในเวทีเศรษฐกิจระดับโลกที่ทรงอิทธิพลที่สุด ซึ่งรัฐบาลและผู้กำหนดนโยบายจากทั่วโลกใช้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อประเด็นเศรษฐกิจสำคัญ ตั้งแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเงิน การลดความยากจน ไปจนถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการรับมือความท้าทายในยุคดิจิทัลและภูมิรัฐศาสตร์ การประชุมนี้จึงเป็นกลไกสำคัญที่กำหนดกรอบและทิศทางนโยบายเศรษฐกิจโลกในแต่ละปี

IMF ซึ่งก่อตั้งในปี 2487 และมีประเทศสมาชิก 191 ประเทศ รับหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินโลก ให้คำปรึกษาทางเศรษฐกิจ สนับสนุนเงินกู้ยามวิกฤติ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพด้านนโยบาย โดยมีนาง Kristalina Georgieva ดำรงตำแหน่งกรรมการจัดการ ขณะที่ WBG ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน มีสมาชิก 189 ประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการลดความยากจน สนับสนุนโครงการพัฒนา และลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ภายใต้การนำของนาย Ajay Banga

การประชุมประจำปีของ IMF-WBG จัดหมุนเวียนระหว่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 2 ปี และประเทศสมาชิก 1 ปี การที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพในปี 2569 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปี นับจากปี 2534 และเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือ บทบาท และศักยภาพของไทยในระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว

สำหรับ Annual Meetings 2026 (AM2026) ประเทศไทยจะต้อนรับผู้เข้าร่วมกว่า 15,000 คน ประกอบด้วยรัฐมนตรีคลัง ผู้ว่าการธนาคารกลาง ผู้บริหารสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ผู้นำทางความคิด และนักวิชาการจากทั่วโลก การประชุมและกิจกรรมกว่า 520 อีเวนต์ รวมถึงการหารือทวิภาคีกว่า 1,500 ครั้ง จะเกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ของงาน ถือเป็นมหกรรมระดับ “Olympics of Finance” ที่สร้างเวทีเชื่อมโยงนโยบาย ความร่วมมือ และโอกาสทางเศรษฐกิจจากนานาประเทศเข้าสู่ไทยในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การรวมตัวของผู้กำหนดนโยบายและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูให้ไทยใช้ประโยชน์ด้านการลงทุน เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยว และการยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลกอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

ไทยในฐานะเจ้าภาพ โชว์ศักยภาพประเทศและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

กระทรวงการคลังเผยว่า งบประมาณที่ใช้ในการจัดงานครั้งนี้อยู่ที่ 2,800 ล้านบาท โดยเป็นการทยอยของบประมาณเรื่อยๆ สำหรับการจัดงานในทุกมิติ โดยธปท. และกระทรวงการคลังประเมินว่า การที่ประเทศไทยรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพประชุมประจำปี IMF-World Bank ในปี 2569 จะสร้างผลเชิงบวกให้ประเทศในหลายมิติ ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติ และบรรยากาศการลงทุน โดยมองว่าปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและต่อยอดศักยภาพของไทยบนเวทีโลกในระยะยาว

ในระยะสั้น การประชุมซึ่งดึงผู้เข้าร่วมกว่า 15,000 คน จะสร้างรายได้โดยตรงให้แก่โรงแรม ร้านอาหาร ระบบขนส่ง และภาคธุรกิจบริการจำนวนมาก การใช้จ่ายของคณะผู้แทนและผู้เข้าร่วมประชุมจากนานาประเทศจะกระตุ้นเศรษฐกิจในกรุงเทพมหานครอย่างชัดเจน ทำให้เกิดประโยชน์ทันทีในวงจรธุรกิจท้องถิ่นและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ในระยะกลาง การมองเห็นประเทศไทยด้วยสายตาของผู้กำหนดนโยบายและผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลกจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการเมือง ความปลอดภัย มาตรฐานสถานที่ และความสามารถในการรองรับงานประชุมระดับ Global City สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ perception ของนักลงทุนโดยตรง เพราะผู้ตัดสินใจด้านการลงทุนมักมองหาประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งการเป็นเจ้าภาพ AM2026 จะช่วยตอกย้ำความพร้อมของไทยในมิตินี้

สำหรับระยะยาว การจัดประชุมครั้งนี้จะช่วยยกระดับประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งมาตรฐานการบริการ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบสนับสนุนเบื้องหลังที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรม MICE การได้เป็นเจ้าภาพงานขนาดใหญ่ของโลกจะช่วยผลักดันให้ไทยมีบทบาทเป็น “MICE Hub ของเอเชีย” อย่างเต็มตัว นอกจากนี้ยังสร้าง “มรดกทางสถาบันและระบบ” ที่จะส่งผลต่อไปแม้การประชุมจะสิ้นสุดลงแล้ว โดยทำให้ไทยมีต้นแบบ โครงสร้าง และมาตรฐานที่พร้อมรองรับงานระดับโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน

ไทยพร้อมแค่ไหนสำหรับการเป็นเจ้าภาพ AM2026

ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในเมืองที่พร้อมที่สุดในเอเชียสำหรับการเป็นเจ้าภาพงานประชุมระดับโลกอย่าง AM2026 ความพร้อมนี้สะท้อนผ่านโครงสร้างพื้นฐานและบริการรองรับที่ครบวงจร ซึ่งได้รับการพัฒนาให้ได้มาตรฐานสากล ทั้งในด้านสถานที่จัดงาน การคมนาคม ระบบที่พัก และการบริการที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ปัจจัยทั้งหมดนี้ช่วยให้ไทยโดดเด่นในฐานะเจ้าภาพที่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากจากทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญประการแรกคือโครงสร้างพื้นฐานของสถานที่จัดประชุม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งถือเป็นศูนย์ประชุมที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค พื้นที่ขนาดใหญ่ได้รับการออกแบบให้รองรับผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก พร้อมระบบการให้บริการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ช่วยให้การจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เข้าร่วมจากหลากหลายประเทศได้ครบถ้วน

ด้านการเดินทาง กรุงเทพมหานครมีระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อทุกมุมเมืองอย่างคล่องตัว ไม่ว่าจะเป็น BTS MRT Airport Rail Link รวมถึงเครือข่ายรถโดยสารและเส้นทางคมนาคมอื่นๆ ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย ระบบเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมให้เมืองหลวงของไทยรองรับงานประชุมระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิผล

ในขณะเดียวกัน โรงแรมและโรงพยาบาลระดับนานาชาติที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ก็พร้อมรองรับการบริการทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเร่งสร้างใหม่หรือขยายพื้นที่เพิ่มเติม มาตรฐานการให้บริการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมจาก IMF-World Bank Group มีความมั่นใจในความสะดวกสบายและความปลอดภัยของการพักอาศัยตลอดช่วงการประชุม

สุดท้ายคือ Hospitality ของคนไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ด้านความเป็นมิตร ความสุภาพ และความใส่ใจในการบริการที่สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนจากทั่วโลกมาโดยตลอด ความพร้อมในมิตินี้เป็นจุดแข็งสำคัญที่เสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะเจ้าภาพที่อบอุ่นและเปี่ยมประสิทธิภาพ ทำให้กรุงเทพมหานครเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการต้อนรับการประชุมระดับโลกในปี 2026

ธีม “Thailand’s New Horizons” วิสัยทัศน์ใหม่สู่อนาคตเศรษฐกิจไทย

การประชุมประจำปี IMF-World Bank Group ในปี 2569 ถูกวางให้เป็นหนึ่งในวาระเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญที่สุดของโลก โดยไทยในฐานะเจ้าภาพได้กำหนดธีมประจำการประชุมภายใต้แนวคิด “Thailand’s New Horizons: Empowering People, Building Resilience” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของประเทศที่ต้องการขับเคลื่อนอนาคตด้วยความเข้มแข็งของประชาชน และระบบเศรษฐกิจการเงินที่ยืดหยุ่น ปลอดภัย ทั่วถึง และยั่งยืน การนำเสนอธีมดังกล่าวเป็นการประกาศภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในเวทีโลก ว่าไทยพร้อมพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและความสามารถของคนในชาติ ควบคู่กับการสร้างเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว

แกนแรกของธีมคือ Empowering People หรือการเสริมพลังประชาชน ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาที่ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม แนวทางนี้สะท้อนการสร้างโอกาสใหม่ในระบบเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถและผลิตภาพของแรงงาน และยกระดับรายได้ รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวม เป้าหมายคือการพัฒนาคนให้สอดรับกับอนาคตของเศรษฐกิจโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์

อีกแกนสำคัญคือ Building Resilience การสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบเศรษฐกิจการเงินของไทย โดยเฉพาะในด้านดิจิทัลผ่านแนวคิด Safe & Inclusive Digital Finance (SIDF) ซึ่งมุ่งให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างปลอดภัย มั่นคง และทั่วถึง ระบบการเงินดิจิทัลที่ยืดหยุ่นและมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันยังสนับสนุนเป้าหมายด้านความเป็นอยู่ทางการเงินหรือ Financial Wellbeing ทำให้ประชาชนมีพื้นฐานการเงินที่มั่นคงเพียงพอรองรับความเสี่ยงในอนาคต

องค์ประกอบทั้งสอง คือ Empowering People และ Building Resilience มีความสอดประสานกันอย่างชัดเจน และสะท้อนความตั้งใจของไทยที่จะผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจในแนวใหม่ที่ไม่เพียงสร้างการเติบโต แต่ยังคำนึงถึงความมั่นคง ความเท่าเทียม และความยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับจุดยืนของประเทศไทยและสิ่งที่ประเทศไทยจะสื่อสารในการประชุมภายใต้ธีมดังกล่าว คือ เป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่ยุคใหม่ภายใต้แนวคิด “New Horizons” ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพให้ประชาชน ขณะเดียวกันก็พัฒนาเศรษฐกิจการเงินให้เติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยการยืนบนจุดแข็งที่มีอยู่เดิม พร้อมต่อยอดด้วยนวัตกรรมและนโยบายที่ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการกำหนดตำแหน่งของไทยในเวทีโลก (Thailand’s Positioning) เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคง คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจอนาคตอย่างแท้จริง

พื้นฐานสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมความเข้มแข็งของสังคมไทยเริ่มต้นจากความสำเร็จในอดีต เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นกรอบคิดที่สร้างสมดุลและความยั่งยืน ระบบสวัสดิการสังคมและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการสร้างพลังให้ชุมชนผ่านกองทุนหมู่บ้านและโครงการ OTOP ที่ช่วยเสริมรายได้ระดับฐานราก นอกจากนี้ โครงสร้างระบบการชำระเงินดิจิทัลอย่าง PromptPay และแอปฯ Paotang ยังได้วางรากฐานสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงได้จริง ช่วยให้ไทยพร้อมต่อการพัฒนาในยุคการเงินดิจิทัลเต็มรูปแบบ

นอกจากความสำเร็จในอดีต ประเทศไทยยังมีจุดแข็งสำคัญในด้านทุนมนุษย์และทรัพยากร เช่น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์และวัฒนธรรมที่มีมูลค่าสูง ความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และบริการสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค รวมถึงทักษะแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องก็ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเศรษฐกิจอนาคต ทำให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีภูมิภาคและระดับโลกมากยิ่งขึ้น

หัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศในยุคใหม่คือแนวทาง People-Centric ที่ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการออกแบบนโยบายและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ และอุตสาหกรรมอาหารที่สร้างชื่อให้ไทยเป็น “Kitchen of the World” ล้วนเป็นเสาหลักที่ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยพร้อมแข่งขันในตลาดโลก ขณะเดียวกัน การพัฒนาอุตสาหกรรม S-Curve และอุตสาหกรรมดิจิทัลก็เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

ทั้งหมดนี้นำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน คือการสร้างรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้ประเทศเดินหน้าอย่างมั่นคงบนเส้นทางของการพัฒนาในศตวรรษใหม่


แชร์
ไทยเป็นเจ้าภาพประชุม'IMF-World Bank'ในรอบ35ปี คุยอะไร? ไทยได้อะไรบ้าง?