ข้อกังวลใจของนักท่องเที่ยวจีน
นักท่องเที่ยวชาวจีน หนึ่งในนักท่องเที่ยวที่ททท.เคยคาดหวังให้เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ซึ่งตั้งเป้าอยู่ที่ 5- 7 ล้านคนเดินทางเข้ามาที่ไทยในปี 66
แต่จากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมเดินทางเข้ามาที่ไทย ชาวจีนเดินทางเข้ามาที่ไทยเพียงแค่ 1.9 ล้านคน (นักท่องเที่ยวลำดับที่ 2 รองจากมาเลเซีย) หากไขไปถึงสาเหตุว่าทำไมนักท่องเที่ยวชาติจีนถึงเดินทางมาไม่ตรงเป้า พบว่า ชาวจีนจำนวนมากได้มีการเขียนรีวิวจากประสบการณ์ที่ตนเดินทางมาเที่ยวไทย ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่าง Weibo
-
กังวลเรื่องความปลอดภัย และมาตรการดูแลท่องเที่ยวเที่ยวหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
-
การมาท่องเที่ยวที่ไทยมีค่าใช้จ่ายแพงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
-
การขอวีซ่านับเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าแต่ก่อน
-
การโกงค่าโดยสารประจำทาง
หลังจากการถกเถียงอย่างดุเดือด ส่งผลให้สถานเอกอัครราชฑูต ณ กรุงปักกิ่ง ได้ออกมาชี้แจ้งว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย และการสร้างความประทับใจของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ และปัจจุบันรัฐบาลไทย ได้เตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้น ทั้งการเพิ่มช่องทางการสื่อสารเพื่อให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลและแจ้งเหตุฉุกเฉินต่อตำรวจท่องเที่ยวที่พร้อมดูแลอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย
นักท่องเที่ยวจีน กับ มาตรการฟรีวีซ่า
หลังจากรัฐบาลนายกฯเศรษฐา ประกาศชัดจะผลักดันให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาช่วยฟื้นเศรษฐกิจอีกครั้ง พร้อมผลักดันให้ไทยเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางในการท่องเที่ยว
โดยเริ่มจากมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน เข้ามาท่องเที่ยวในไทยได้เป็นเวลา 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 ครอบคลุมระยะเวลา 5 เดือน โดยมีเงื่อนไขดังนี้
-
นักท่องเที่ยวต้องมีหนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน
-
นักท่องเที่ยวต้องเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยสายการบินที่จดทะเบียนในประเทศไทย
-
นักท่องเที่ยวต้องเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น
-
นักท่องเที่ยวต้องเดินทางออกจากประเทศไทยภายใน 30 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้าประเทศไทย
มาตราการฟรีวีซ่าในครั้งนี้ ประจวบเหมาะกับช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยวของประเทศไทย และวันหยุดแห่งชาติ 8 วันของชาวจีน หรือเทศกาลไหว้พระจันทร์ (29 ก.ย. - 6 ต.ค. 66)
สำนักข่าว South China Morning Post ได้มีการรายงานว่า ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เรียกได้ว่าเป็น Golden Week ของการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะมีชาวจีนมากกว่า 21 ล้านคนเดินทางด้วยเครื่องบินระหว่างช่วงวันหยุด และมีเที่ยวบินกว่า 14,000 เที่ยวบินที่บินระหว่างประเทศ ส่งผลให้ราคาตั๋วค่าโดยสารมีอัตราที่แพงขึ้นกว่าเก่ามากถึง 2 – 3 เท่า
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานว่า ประเทศไทย ก็ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่ชาวจีนอยากเดินทางมาท่องเที่ยว โดยได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลจีน ส่งเสริมนโยบายการเปิดประเทศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวต่างประเทศอีกด้วย
โดยคาดการณ์ว่า จะมีเที่ยวบินจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากเดิม เฉลี่ย 72 เที่ยวบินต่อวัน เป็น 96 เที่ยวบินต่อวัน และมีผู้โดยสารจะเพิ่มจาก 9,680 คนต่อวัน เป็น 18,656 คนต่อวัน
การเตรียมความพร้อมของไทย
ภายหลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถาน ในระยะเวลา 5 เดือน
-
ททท. ได้จัดพิธีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนและคาซัคสถาน ด้วยหุ่นละครเล็กและรํากลองยาว ทั้ง 4 อากาศยาน ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานภูเก็ต
-
รัฐบาลไทยเน้นให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ‘ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางเข้ามา – ก้าวสุดท้ายที่เดินออก’ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ท่องเที่ยวเที่ยวทุกคน
-
อำนวยความสะดวกการรับชำระเงินผ่านอีวอลเล็ต ผ่านแพลตฟอร์ม อาลีเพย์ พลัส โดยได้เปิดจุดรับชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยววจีน กว่า 500,000 จุดในไทยตามสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ภายในสนามบิน และเตรียมจะขยายจุดชำระเงินเพิ่มขึ้น ตามร้านค้าท้องถิ่นและชุมชน
รัฐบาลไทยคาดหวังอะไรจากมาตรการฟรีวีซ่า
หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม เดินทางมาที่ประเทศไทยต่ำกว่าที่ททท.เคยตั้งเป้าไว้ (ตั้งเป้า 25-30 ล้านคน) ในขณะที่ปี 62 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 39.7 ล้านคน
จนสุดท้ายมาตรการฟรีวีซ่า เหมือนเป็นความหวังใหม่ในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
- ตั้งเป้า’นักท่องเที่ยวจีน’เข้าไทยกว่า 2,888,500 คน คาดสร้างรายได้ 140,313 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการฟื้นตัว 62% เมื่อเทียบกับปี 62
- ตั้งเป้า’นักท่องเที่ยวคาซัคสถาน’เข้าไทยกว่า 129,485 คน สร้างรายได้ 7,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.7%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
- ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด – เพื่อลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ จากรายได้ที่กระจุกอยู่แค่เมืองหลัก โดยการเสริมสร้างการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เสริมสร้างมิติใหม่ในการเดินทางผ่านการเดินทางที่หลากหลายไม่ซ้ำมุมมอง สร้างเอกลักษณ์ในพื้นที่ ชูเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของชุมชน ด้วย’โครงการ Amazing เมืองรอง ต้องลอง ต้องรัก’
โดยรัฐบาลเชื่อมั่นว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยคลี่คลายข้อจํากัดในการเดินทางของนักท่องเที่ยว ทั้งเรื่องระยะเวลาและค่าใช้จ่าย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว กลุ่มทัวร์ และกลุ่ม Incentive ประกอบกับช่วงเวลาดําเนินมาตรการถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ครอบคลุมช่วง Golden week ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมออกเดินทางท่องเที่ยวต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่
จะยิ่งช่วยผลักดันสู่เป้าหมายภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตั้งไว้ของปี 2566 จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 - 30 ล้านคน และสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ให้กลับมาในอัตราร้อยละ 80 ของปี 2562 ที่ 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายรายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาท
D-DAY วันฟรีวีซ่า
วันที่ 25 กันยายน 2566 วันแรกของการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ชาวจีน และคาซัคสถาน
- ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1 เที่ยวบิน - โดยสารด้วยThai Air Asia X เที่ยวบิน XJ 761 เส้นทางเซี่ยงไฮ้-สุวรรณภูมิ จำนวน 367 คน (ชาวจีน 306 คน และนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น 35 คน)
- ท่าอากาศยานดอนเมือง 3 เที่ยวบิน - เที่ยวบิน FD583 สายการบิน Thai Air Asia จากคุนหมิง เที่ยวบิน SL935 สายการบิน Thai Lion Air จากฉางซา และเที่ยวบิน DD3111 สายการบิน Nok Air จากหนานหนิง
- ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 2 เที่ยวบิน - สายการบิน China Eastern Airlines ได้แก่ เที่ยวบิน MU 205 จากเซี่ยงไฮ้ และเที่ยวบิน MU 2563 จากคุนหมิง
- ท่าอากาศยานภูเก็ต 4 เที่ยวบิน - นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐคาซัคสถาน 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบิน KC 563 สายการบิน Air Astana จากอัลมาตี้ และจากสาธารณรัฐประชาชนจีน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบิน CA 717 สายการบิน Air China จากหางโจว เที่ยวบิน 9C8667 สายการบิน Spring Airlines จากเซี่ยงไฮ้ และเที่ยวบิน CA 821 สายการบิน Air China จากปักกิ่ง
7 วันแรกของมาตรการฟรีวีซ่า (25 ก.ย. – 1 ต.ค.66)
- สาธารณรัฐประชาชนจีน : จะมีเที่ยวบินรวม 674 เที่ยวบิน (เฉลี่ย 96 เที่ยวบินต่อวัน) แบ่งเป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 337 เที่ยวบิน
- สาธารณรัฐคาซัคสถาน : มีเที่ยวบินรวม 6 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินขาเข้าและขาออก ขาละ 3 เที่ยวบิน เท่ากับช่วงก่อนมีมาตรการ แต่คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,338 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ขาละ 669 คน
AOT ขานรับนโนบาย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เตรียมการรองรับผู้โดยสารชาวจีนและคาซัคสถาน โดยมีการจัดตารางบิน การอำนวยความสะดวกในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง การตรวจค้น การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้แก่นักท่องเที่ยว
การเตรียมความพร้อมขาเข้า
- ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)
ปัจจุบันมีช่องตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (ตม.) ขาเข้า 138 ช่องตรวจ (ช่องปกติ 118 ช่องตรวจ และช่อง Visa On Arrival อีก 20 ช่องตรวจ) และมีเครื่อง Auto Channel จำนวน 16 เครื่อง สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 7,140 คนต่อชั่วโมง (กรณีที่มีการใช้งานทุกช่องตรวจ) ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจลงตรา 1 นาที
- ขั้นตอนรับกระเป๋าสัมภาระ
ปัจจุบันมีจำนวนสายพานรับกระเป๋าขาเข้าสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ 4 สายพาน และสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ 18 สายพาน โดยหากเกิดความหนาแน่นบริเวณสายพานรับกระเป๋า ทสภ.จะกำกับดูแลและติดตามเวลา First Bag และ Last Bag ของผู้ให้บริการภาคพื้น
และสายการบิน
การเตรียมความพร้อมขาออก
- ขั้นตอนการเช็กอิน
ปัจจุบันมีจำนวนเคาน์เตอร์เช็กอิน แบบเดิม 302 เคาน์เตอร์ (ใช้เวลาเฉลี่ย 3 นาทีต่อคน) และมีเครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) จำนวน 196 เครื่อง และเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) จำนวน 50 เครื่อง (ใช้เวลาเฉลี่ย 1 นาทีต่อคน) และกำหนดแนวทางการลดปัญหาความหนาแน่น โดยการทำ Early Check-in พร้อมประสานสายการบินให้นั่งเคาน์เตอร์ให้เต็ม และประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารใช้ CUSS และ CUBD
- บริการจุดตรวจค้น
ปัจจุบันมีจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศจำนวน 3 โซน เครื่องเอ็กซเรย์ 25 เครื่อง และมีการติดตั้งระบบ Automatic Return Tray System (ARTS) ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจค้นไม่เกิน 7 นาทีต่อคน
- ขั้นตอนการตรวจลงตรา
ปัจจุบันมีช่องตรวจหนังสือเดินทาง ตม.ขาออก 69 ช่องตรวจ และเครื่อง Auto Channel 16 เครื่อง ที่ใช้ระยะเวลาในการตรวจลงตรา 1 นาทีต่อ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4,149 คนต่อชั่วโมง