ข่าวเศรษฐกิจ

คนไทยโดนแอปฯดูดเงินแล้ว 500 ล้านบาทมิจฉาชีพหลอกล่อด้วยรางวัลให้โหลดแอป

17 ก.พ. 66
คนไทยโดนแอปฯดูดเงินแล้ว 500 ล้านบาทมิจฉาชีพหลอกล่อด้วยรางวัลให้โหลดแอป

การแพร่ระบาดของมิจฉาชีพที่พัฒนารูปแบบเป็นการหลอกลวง โดยใช้แอปฯ ดูดเงินกับคนไทยเป็นจำนวนมาก มีความแนบเนียนมากขึ้น ใช้หลากหลายเทคนิคกลโกงหลอกล่อให้หลงเชื่อโดยไม่รู้ตัว

ล่าสุด  สมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลกลโกงมิจฉาชีพใช้แอปฯ ดูดเงินสร้างความเสียหายต่อประชาชนเป็นมูลค่าราว 500 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

“สมาคมธนาคารไทยจึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับมาตรการป้องกันภัยจากมิจฉาชีพเพื่อช่วยประชาชน โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ได้แก่ True AIS DTAC และ NT ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่าง LINE”  นายยศ กิมสวัสดิ์ ประธานสำนักงานระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย กล่าว

 โดยความร่วมมือดังกล่าวได้มีร่วมกันดำเนินการ ดังนี้

  •   ตรวจสอบปิดไลน์ปลอมของธนาคาร
  •   ควบคุมและจัดการ ชื่อผู้ส่ง SMS (SMS Sender) ปลอม
  •   ปิดกั้น URL ที่เป็นอันตราย
  •   หารือธนาคารสมาชิกพัฒนาระบบความปลอดภัยแชร์เทคนิคและแนวทางป้องกันภัยร่วมกัน เช่น พัฒนาการป้องกันและควบคุม Mobile Banking Application กรณีมือถือมีการเปิดใช้งาน Accessibility Service เพิ่มระบบการพิสูจน์ตัวตน (Authentication) ด้วย Biometrics Comparison 

ทั้งนี้ หากร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีผลบังคับใช้ จะช่วยให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทำได้รวดเร็วขึ้น ระงับความเสียหายได้อย่างทันท่วงที สามารถบล็อกบัญชีต้องสงสัยได้ โดยไม่ต้องรอแจ้งความ

screenshot2023-02-17151626

รูปแบบการหลอกลวง 3 แบบ 

การหลอกลวงประชาชนให้ได้รับความเสียหายจากแอปฯ ดูดเงิน ส่วนใหญ่ดำเนินการใน 3  รูปแบบ ดังนี้

  1. หลอกล่อด้วยรางวัลและความผิดปกติของบัญชีและภาษี โดย Call Center โทรมาหลอกด้วยสถานการณ์ที่ทำให้กังวล SMS เป็นการใช้ชื่อเหมือนหรือคล้ายหน่วยงานต่างๆ และ Social Media หลอกให้เงินรางวัลและเงินกู้ หรือโน้มน้าวชวนคุยหาคู่ และให้เพิ่ม (Add) บัญชีไลน์ปลอมของมิจฉาชีพ
  2. หลอกให้ติดตั้งโปรแกรม หลอกขอข้อมูล และให้ทำตามขั้นตอนเพื่อติดตั้งแอปฯปลอม (ไฟล์ติดตั้งนามสกุล .apk) โดยใช้ความสามารถของ Accessibility Service ของระบบปฏิบัติการ Android ที่เมื่อแอปพลิเคชันใด ๆ ได้รับอนุญาตให้ทำงานภายใต้ Accessibility Service แล้ว จะสามารถเข้าถึงและควบคุมการสั่งงานมือถือแทนผู้ใช้งานได้ ฟังก์ชันนี้จึงเป็นกลไกหลักของมิจฉาชีพในการควบคุมมือถือของเหยื่อ 
  3. ควบคุมมือถือของเหยื่อและใช้ประโยชน์ ด้วยการใช้แอปฯ ปลอมเชื่อมต่อไปยังเครื่องของมิจฉาชีพ เพื่อเข้าควบคุมและสั่งการมือถือของเหยื่อ เพื่อโอนเงิน และขโมยข้อมูลต่าง ๆ โดยรูปแบบของแอปฯดูดเงินที่มิจฉาชีพใช้หลอกประชาชนมี 3 รูปแบบ คือ 
  • หลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันจำพวกรีโมทจาก Play Store เช่น TeamViewer, AnyDesk เป็นต้น จากนั้นมิจฉาชีพจะรีโมทเข้ามาดูและควบคุมมือถือของเหยื่อเพื่อโอนเงินออกทันที (เกิดขึ้นมากในช่วงกลางปี 2565)
  • แอปพลิเคชันอันตราย (.apk) เมื่อติดตั้งแล้วจอมือถือของเหยื่อจะค้าง โจรจะรีโมทมาควบคุมมือถือของเหยื่อ และโอนเงินออกทันที เช่น แอปพลิเคชัน DSI, สรรพากร, Lion-Air, ไทยประกันชีวิต, กระทรวงพาณิชย์ (ยังคงเป็นรูปแบบที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุด) 
  • แอปพลิเคชันอันตราย (.apk) ที่ควบคุมมือถือของเหยื่อ รอประชาชนเผลอแล้วค่อยแอบโอนเงินออกภายหลัง เช่น แอปพลิเคชัน หาคู่ Bumble, Snapchat (ยังคงเป็นรูปแบบที่มิจฉาชีพใช้)

screenshot2023-02-17151853

แนวทางการป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ มีจุดสังเกตที่ต้องระวัง คือ 

  1. มิจฉาชีพจะแนะนำให้เหยื่อ Copy link ไปเปิดใน Chrome Browser เพื่อเข้าเว็บปลอม
  2. ขณะทำการติดตั้งแอปพลิเคชันของมิจฉาชีพ มือถือจะขอสิทธิ์ในการติดตั้งแอปฯที่ไม่รู้จัก
  3. มิจฉาชีพพยายามให้ตั้ง PIN หลายครั้ง หวังให้เหยื่อเผลอตั้ง PIN ซ้ำกับ PIN ที่ใช้เข้า Mobile Banking Application ของธนาคาร
  4. หลอกให้เหยื่อเปิดสิทธิ์ การช่วยเหลือพิเศษ (Accessibility) โดยชวนคุยจนไม่ทันอ่านเนื้อหาที่ขึ้นมาเตือน

ทั้งนี้ ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่าน App Store หรือ Play Store เท่านั้น  และไม่ควร Add LINE หรือช่องทาง Chat อื่น ๆ คุยกับคนแปลกหน้า

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันภัยจากแอปฯดูดเงิน แนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้

  1. ตรวจสอบมือถือว่าเปิดแอปพลิเคชันที่ทำงานภายใต้ Accessibility Service หรือไม่ โดยตรวจดูให้แน่ใจว่าเรารู้จักและทราบเหตุผลของการเปิดใช้งานทุกโปรแกรม หากไม่ทราบให้รีบปิด
  2. เปิดใช้งาน Google Play Protect เพื่อตรวจสอบการติดตั้งแอปพลิเคชันอันตราย หากเจอให้ Uninstall ทันที 
  3. ติดตั้งแอปพลิเคชัน Endpoint Protection หรือ Antivirus บนมือถือเพื่อดักจับ และป้องกันแอปพลิเคชันอันตราย หรือมัลแวร์ต่างๆ

สำหรับผู้ที่หลงกลตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ  ให้รีบดำเนินการปิดเครื่องทันที ด้วยวิธีกด Force-Reset คือ

การกดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียง พร้อมกันค้างไว้ 10-20 วินาที แต่ถ้าทำวิธีนี้ไม่สำเร็จ ให้ตัดการเชื่อมต่อของโทรศัพท์ด้วยการถอดซิมการ์ด ปิด Wi-Fi หลังจากนั้น ให้ติดต่อธนาคาร แจ้งความทันที

screenshot2023-02-17151919

อย่างไรก็ตาม รูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพมีหลากหลายและมีวิธีการใหม่ๆ เสมอ เพื่อให้ปลอดภัยจากกลโกงประชาชนควรพึงระลึกเสมอถึง 8 พฤติกรรมปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกมิจฉาชีพหลอก ดังนี้

  1. อุปกรณ์ปลอดภัย-ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือที่ไม่ปลอดภัยมาทำธุรกรรมทางการเงิน อาทิ เครื่องที่ถูกปลดล็อก                  (root/jailbreak) หรือใช้เครื่องที่มีระบบปฏิบัติการล้าสมัย และตั้งล็อกหน้าจอ
  2. ตัวตนปลอดภัย-ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในสื่อสาธารณะเกินความจำเป็น
  3. รหัสปลอดภัย-ตั้งค่ารหัส (Password) ที่ไม่ง่ายเกินไป ไม่ซ้ำกับรหัสการใช้ทั่วไป และไม่บอกผู้อื่น
  4. สื่อสารปลอดภัย-ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า และไม่แสดงตัวก่อน หากถูกถามให้ตรวจสอบคู่สนทนาให้แน่ชัด
  5. เชื่อมต่อปลอดภัย-ไม่ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสัญญาณ Wi-Fi สาธารณะ หรือฟรีดาวน์โหลดหรือติดตั้งโปรแกรมจากแหล่งที่ได้รับรองโดยผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการ (Official Store) เช่น Play Store หรือ App Store เท่านั้น โดยไม่คลิกจากลิงก์ และตรวจเช็กการอนุญาต หรือ Permission ของแอพปลิเคชันและสังเกตการขออนุญาตเข้าใช้งานอุปกรณ์หรือข้อมูลที่ไม่สัมพันธ์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้งานและกับประเภทการทำงานของแอปพลิเคชัน
  6. มีสติรอบคอบก่อนการทำธุรกรรมทุกครั้ง อ่านข้อความที่ขึ้นเตือนบนเครื่องโทรศัพท์มือถือให้ถี่ถ้วน ไม่คลิกลิงก์จาก SMS, Chat หรืออีเมลที่ถูกส่งมาจากแหล่งที่ไม่รู้จักหรือไม่น่าเชื่อถือ
  7. ศึกษาและติดตามข่าวสารการใช้งานเทคโนโลยีเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยหมั่นตรวจเช็กการตั้งค่า ไม่ให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก (Install Unknown Apps) และใช้งาน Antivirus Software

ติดตามข่าวสาร โดยสามารถศึกษาข้อมูลและแนวทางป้องกันกลโกงมิจฉาชีพได้ที่  Facebook: TB-CERT

กสทช.แจ้งเตือน-เผยมีคดีออนไลน์วันละ 800 คดี 

สำนักงาน กสทช. ได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระวังมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนด้วยวิธีโอนเงิน หรือดูดเงินประชาชนจากบัญชีธนาคารผ่านโซเซียล ซึ่งมิจฉาชีพจะอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้ประชาชนหลงเชื่อ 

“จากข้อมูลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่า มีคดีออนไลน์วันละ 800 คดี ซึ่งต้องเร่งดำเนินการตามกฎหมายและขณะนี้ได้ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้แล้ว จะเร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เมื่อประกาศใช้แล้วจะให้อำนาจตำรวจไซเบอร์ในการจับผู้กระทำความผิดและสามารถทำร่วมกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งคิดว่าจะทำให้คดีลดน้อยลง”นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า 

โดยหน่วยงานที่มักจะถูกแอบอ้าง คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรสามิต กระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ติดต่อคืนภาษีผ่านไลน์หรือระบบอื่นๆ อีกทั้งกำลังร่าง พ.ร.ก.อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้กระทรวงดีอีเอส กสทช. ส่งเอสเอ็มเอส แจ้งเตือนประชาชน  และขอให้ประชาชาชนจำไว้ว่าหากมีโทรศัพท์เข้ามาแต่ไม่รู้จักอย่ารับสายเท่านั้นเอง หรือสามารถปรึกษาข้อสงสัย แจ้งเบาะแส และขอความช่วยเหลือ ได้ที่เบอร์ 1441 สายด่วนตำรวจไซเบอร์ หรือสอบถามมาที่สำนักงาน กสทช. Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1200 (ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)

โลกทุกวันนี้ ย่อมอยู่ยากขึ้นทุกวัน ทุกก้าวเดินของทุกคน ต้องตั้งสติ ก่อนสตาร์ทจะเชื่อคนแปลกหน้า อะไรใหม่ๆ ด้วยทุกวันนี้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราแล้ว กลโกงก็เปลี่ยนรูปแบบตามไปด้วย เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงได้ และรวดเร็ว 

แพล่บเดียว!! เงินหายจากแอปฯ ธนาคารแล้ว เพราะฉะนั้น อะไรที่แปลกๆ ก็ช่างใจไว้ก่อนจะกดเข้าไปดู หรือรับสายโทรศัพท์จากพวกแอบอ้างที่ทำให้เราตกใจ วิตก กลัว กดตัดสายทิ้ง ลบข้อความ กดรายงานไปยังค่ายมือถือ งานนี้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อนดีสุดแล้ว

advertisement

SPOTLIGHT