
ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าใจตรงกันว่า สิ่งหนึ่งที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย คือ กฎระเบียบจุกจิก และกระบวนการอันเทอะทะ-ล่าช้า ที่เป็นอุปสรรคในการลงทุนตั้งกิจการของบริษัทต่างชาติ ด้วยความตระหนักในปัญหา จึงมีการบรรจุเรื่อง การปลดล็อกการลงทุนไว้ในเสาหลักที่ 5 ของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน
รองนายกฯ และ รมว.คลัง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ พูดย้ำหลายครั้งว่าจะให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) เร่งอนุมัติการลงทุนใหม่ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปลดล็อกอุปสรรคและอำนวยความสะดวกในการลงทุน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่เอกนิติเป็นปะธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุนจำนวน 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท พร้อมประเดิมคัดเลือก 16 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าระบบ Thailand FastPass เพื่อเร่งรัด ปลดล็อกอุปสรรค และอำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว เป็นการทิ้งทวนก่อนที่นายกฯจะประกาศยุบสภา
บอร์ดบีโอไออนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จำนวน 15 โครงการ ใน 5 กิจการ รวมมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 184,740 ล้านบาท
กิจการนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ
กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 90 เมกะวัตต์
กิจการขนถ่ายสินค้าทางเรือ
กิจการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์
บอร์ดบีโอไอได้คัดเลือกโครงการที่ได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เข้าสู่กลไก Thailand FastPass เป็นล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 7,000 คน ได้แก่
กิจการเทคโนโลยีชีวภาพ
กิจการชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่
กิจการชิ้นส่วนอากาศยาน
กิจการอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ Hyperscale
กิจการศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะ
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอกำหนดให้โครงการที่ได้รับบัตร Thailand FastPass ต้องมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนรวม ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้ชัดเจน
เลขาธิการบีโอไอเปิดเผยอีกว่า หลังจากนี้ บอร์ดบีโอไอจะทยอยพิจารณาคัดเลือกโครงการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569–2570
นอกจากนั้น เลขาธิการบีโอไอเปิดเผยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาด้านการลงทุน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ไฟฟ้า การจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่อปลดล็อกโครงการลงทุน 80 โครงการ มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท ดังนี้
ด้านไฟฟ้า
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงให้แก่ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 200 เมกะวัตต์ขึ้นไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า
ในเรื่องพลังงานสะอาด สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเตรียมเสนอหลักเกณฑ์และโครงสร้างราคาการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ต่อ กพช. ภายในเดือนธันวาคมนี้
สำหรับการบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff 2: UGT2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมประกาศอัตราค่าบริการ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน
บีโอไอได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการพิจารณาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและการจัดทำผังเมืองให้รองรับความต้องการลงทุนระลอกใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน
บีโอไอได้จัดส่งรายชื่อนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้กรมการกงสุลแล้ว เพื่อเร่งรัดการออกวีซ่าเป็นกรณีพิเศษ และอยู่ระหว่างการเชื่อมโยงระบบ Single Window กับระบบ Thai e-Visa ให้สามารถส่งต่อข้อมูลโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569
ในส่วนการให้บริการที่ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (OSS) กรมการจัดหางานได้เพิ่มเจ้าหน้าที่แล้ว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะดำเนินการเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อที่จะสามารถให้บริการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ที่ประชุมบีโอไอได้ทบทวนการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะล้นตลาดและอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำของผู้ผลิตในประเทศ พร้อมปรับทิศทางการส่งเสริมไปสู่การผลิตเหล็กคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเหล็กสีเขียวตามแนวโน้มตลาดโลก โดยมีมาตรการสำคัญดังนี้