
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงวิสัยทัศน์การออกแบบนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงอนาคต ในการกล่าวปาฐกถาเปิดงานสัมมนา “Thailand 2026: ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” ที่จัดโดยประชาชาติธุรกิจ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568
รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวว่า รัฐบาลออกแบบนโยบายเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงอนาคตของประเทศไทย เริ่มจาก ปรับมุมมอง ยอมรับความจริง แล้วพิจารณาว่าประเทศไทยควรจะไปต่ออย่างไร แล้วออกแบบนโยบายที่เริ่มทำสิ่งที่ควรทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอทำในอนาคต จึงออกมาเป็นชุดโยบายเศรษฐกิจ “Quick Big Win” ที่มีเป้าหมาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ซึ่ง “ได้ผลยาว” คือคีย์เวิร์ดที่สะท้อนการมองไปถึงอนาคต
เอกนิติกล่าวว่า การออกแบบนโยบายเพื่ออนาคตต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ปัญหาที่เผชิญอยู่คืออะไร มีอะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยของปัญหา และจะแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งการแก้ไขและการเดินต่อไปข้างหน้าต้องเปลี่ยนวิธีคิดและเปลี่ยนวิธีการด้วย โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยให้เกิดพลังทางเศรษฐกิจมากขึ้น และช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น คนละครึ่ง พลัส ที่ประสบความสำเร็จโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลอยู่เบื้องหลัง
การอัพสกิลและรีสกิลพ่อค้าแม่ค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส คือตัวอย่างที่ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ยกมาบอกว่า เป็นการออกแบบนโยบายเพื่ออนาคต โดยมีการให้เงินกระตุ้นสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมอัพสกิล-รีสกิล ซึ่งในส่วนนี้ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์เป็น เป็นการเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ของพ่อค้าแม่ค้าให้ขายของได้มากขึ้นและอัพสเกลการขายได้
“ผลออกมาชัด ข้อมูลเรคคอร์ดชัดเจนว่ารายได้ของพ่อค้าแม่ค้าเพิ่มขึ้นสามสี่เท่า ไรเดอร์มีรายได้เพิ่มขึ้น 15%” รองนายกฯและ รมว.คลัง กล่าวว่านี่คือความสำเร็จ และ “เชื่อว่าเมื่อพ่อค้าแม่ค้าขายออนไลน์เป็นแล้ว จะทำต่อไปตลอดชีวิต”
อีกเรื่องหนึ่งที่รองนายกฯ และ รมว.คลังยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนมุมคิด ยอมรับความจริง และปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหา คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งรองนายกฯและ รมว.คลังบอกว่า ไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนหนักมาก แต่ไม่มีใครลงมาดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร และจะแก้ไขอย่างจริงจังได้อย่างไร
“วิธีแก้ต้องแก้สั้น แต่ได้ผลยาว ต้องเปลี่ยนวิธีทำ” เอกนิติกล่าว แล้วอธิบายว่ารัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารรัฐ และธนาคารพาณิชย์ แก้ไขหนี้ของประชาชนที่มีหนี้ที่ไม่มีหลักประกันรวมไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ซึ่งมีประมาณ 3.4 ล้านคน ภายใต้ชื่อโครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปได้ต่อ’ โดยให้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซื้อหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย แล้วนำมาปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายชำระหนี้ได้
นอกจากนั้น โครงการ ‘ปิดหนี้ไว ไปได้ต่อ’ จะชุบชีวิตประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ โดยให้ทักษะทางการเงิน และให้สามารถกลับมากู้ได้ ภายใต้กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing)
ทั้งนี้ รองนายกฯและ รมว.คลังยืนยันว่า การดำเนินการโครงการแก้หนี้ประชาชน ดำเนินการโดยคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณ
อีกเรื่องที่รองนายกฯ และ รมว.คลังบอกว่าเป็นการออกแบบนโยบายที่เริ่มจากยอมรับความจริง คือ การแก้ปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำแพ็กเกจสำหรับ SME เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสหรับ SME ซึ่งยังคงท้าทาย เนื่องจากสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น จึงต้องใช้เงินจาก FIDF มาค้ำประกันสินเชื่อให้ SME
ทั้งนี้ รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาสภาพคล่องของ SME ว่า ประมาณ 90% ของผู้ประกอบการไทยเป็น SME หากปล่อยให้ SME ล้ม ธุรกิจใหญ่ก็จะล้มไปด้วย ดังนั้น จะปล่อยให้ SME ล้มไม่ได้
สำหรับวิธีการช่วยแก้ปัญหาของ SME รัฐบาลจะคุยกับบริษัทใหญ่ให้ช่วยเหลือ SME ในซัพพลายเชน เช่น ให้ลดระยะเวลาเครดิตเทอมให้สั้นลง ในอีกทางหนึ่งจะหารือกับสถาบันการเงินให้ปล่อยสินเชื่อให้ SME ซึ่งในส่วน SME ที่เป็นซัพพลายเชนให้บริษัทใหญ่ มีแนวโน้มที่ดีที่สถาบันการเงินจะกล้าปล่อยสินเชื่อให้
นอกจากช่วยในเรื่องสภาพคล่องแล้ว รองนายกฯ และ รมว.คลังมีความคาดหวังอยากผลักดันและช่วยเหลือให้ SME เข้าสู่การทำ business transformation เพื่ออนาคตด้วย
สำหรับการเดินต่อไปข้างหน้าของเศรษฐกิจไทย รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าวว่า “ทางเดียวที่จะไปต่อได้ คือ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าโมเดลเศรษฐกิจที่เคยทำให้ประเทศไทยเติบโตมาในอดีตใช้ไม่ได้แล้วในวันนี้”
เอกนิติอธิบายว่า เศรษฐกิจไทยในยุคที่ผ่านมาเติบโตได้จากบุญเก่าที่สร้างไว้ คือ มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเอาไว้ เมื่อเกิด ‘พลาซาแอคคอร์ด’ ที่สหรัฐฯบีบให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯต่อญี่ปุ่น ในยุค 1980 ญี่ปุ่นต้องมองหาฐานการผลิตนอกประเทศ จึงเลือกอาเซียน โดยไทยเป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนจากญี่ปุ่นมากที่สุด เนื่องจากไทยมีความพร้อมมากในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งไฟฟ้า น้ำ และท่าเรือ
“แต่วันนี้ โลกไม่ต้องการการลงทุนแบบเดิม โลกต้องการไฟสะอาด พลังงานสีเขียว ไทยต้องเน้นเรื่องพลังงานสีเขียว ต้องลงทุนพลังงานสะอาด ซึ่งรัฐบาลก็มีการทำแผนต่างๆ แล้ว และมีการทำ Direct PPA ที่ปลดล็อกให้ดาต้าเซ็นเตอร์ซื้อไฟตรงจากผู้ผลิต”
“ประเทศไทยไม่ใช่ไม่มีสเน่ห์ เพราะคนที่อยากมาลงทุนมีเยอะมาก” รองนายกฯ และ รมว.คลังกล่าว พร้อมเผยข้อมูลว่า ในปีนี้ มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท โตขึ้น 90% จากปีก่อนหน้า แต่ติดเงื่อนไข-กฎระเบียบ ติดล็อกอย่าง ดังนั้น ในระยะสั้นต้องปลดล็อกให้ง่ายขึ้น โดยรัฐบาลจะมีโครงการ Fast Pass ให้ผู้ขอลงทุนได้รับอนุมัติอย่างรวดเร็ว ให้เป็นไปตามข้อตกลงระยะเวลาการให้บริการ (Service-level Agreement) โดยจะนำโครงการ Fast Pass เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือ ครม.เศรษฐกิจ ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้
เอกนิติกล่าวอีกวา หากมีการอนุมัติเร็ว จะมีการลงทุนใหม่ประมาณ 300,000 ล้านบาท จำนวน 60 โครงการ ซึ่งเป็นการงทุนโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ แผ่นวงจร (PCB) รถยนต์ไฟฟ้า ออโตเมชัน แปรรูปอาหาร และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นฐานของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI)
“ประเทศไทยเคยเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์แบบเก่า แต่วันนี้มีคนมาลงทุนโรงงาน PCB จำนวนมาก แต่ติดเงื่อนไข กฎระเบียบ ผมว่าเรายังมีอนาคต และที่สำคัญที่สุด เราต้องปลดล็อก ต้องรีสกิล ต้องกลับมาเน้นเรื่อง ‘คน’ เราต้องทำให้คนไทยพัฒนาไปต่อได้ เราต้องทำให้คนไทยเก่งขึ้น”
ในส่วนการพัฒนาทักษะแรงงานนั้น รองนายกฯ และ รมว.คลังบอกว่า จะใช้เงินจาก ‘กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน’ ซึ่งเป็นเงินมีอยู่แล้ว ไม่กระทบต่อฐานะการคลัง วิธีการคือ จะอบรมพัฒนาทักษะคนที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานให้มีทักษะตรงกับที่นายจ้างต้องการ โดยประสานงานตรงกับบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ว่าต้องการทักษะแบบใด แล้วอัพสกิลแแรงงานให้ได้ตามที่ต้องการ โดยจับมือกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ตั้งเป้าจำนวน 100,000 คน ในเวลา 4 เดือน
รองนายกฯ และ รมว.คลังสรุปว่า หลังจากที่พยายามฟื้นเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ให้ติดหล่ม เพื่อให้เดินต่อไปข้างหน้าได้ ปีหน้าต้องเป็นปีแห่งการลงทุนในสองเรื่อง ซึ่งจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ หนึ่ง คือ ลงทุนเรื่องคน เพื่อให้คนไทยเก่งขึ้น ผ่านการอัพสกิล-รีสกิล เป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่ ซึ่งจะสร้างรากฐานให้ประเทศไทย
สอง คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ เช่น พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นรากฐานของไฟฟ้าสีเขียวที่ธุรกจใหม่ๆ ต้องการ และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ออโตเมชั่น การลงทุนใน AI และ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่ควรลงทุนแค่ดาต้าเซ็นเตอร์ แต่ต้องอัพเกรดขึ้นเป็นเซอร์วิสซึ่งใช้ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นฐาน
“ประเทศไทยมีพร้อม ทั้งที่ดิน อากาศ แสงแดด ที่ทำโซลาร์ฟาร์มได้ นี่คือสิ่งที่ต้องลงทุนใหม่ โดยใช้นวัตกรรมทางการเงิน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) หรือ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) เพื่อให้ประเทศไทยไปต่อได้” เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศกล่าว