
จากข้อมูลของกรมการปกครอง ระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่องทุกปี จากกว่า 8 แสนคนต่อปีในช่วงปี 2557 เหลือเพียงประมาณ 5 แสนคนในปี 2567 นับได้ว่าตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีจํานวนประชากรเกิดใหม่น้อยลงต่อเนื่องทุกปี ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้นทุกปีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 นอกจากการเกิดที่น้อยลงแล้วประเทศไทยยังต้องเผชิญกับ สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ คือตั้งแต่ปี 2567 มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด และในปี 67 ยังเป็นปีแรกในรอบ 75 ปี ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน วิกฤตโครงสร้างประชากร เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย เพราะส่งผลให้เกิด 3 ความเสี่ยงหลักไม่ว่าจะเป็น
1.ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
เมื่อคนเกิดน้อยลงและคนสูงอายุเพิ่มขึ้น ทําให้จำนวนแรงงานในอนาคตก็จะลดลงตามไปด้วย ธุรกิจหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากอย่างการผลิต การเกษตร หรือบริการอาจต้องเผชิญกับปัญหา และสุดท้ายอาจต้องพึ่งแรงงานต่างชาติมากขึ้นกว่าเดิม
2.แนวโน้มการบริโภคที่ลดลง
เมื่อคนในประเทศมีน้อยลง ความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศก็ลดลงตามไปด้วยด้วย ตั้งแต่ของใช้พื้นฐาน ไปจนถึงภาคอสังหาริมทรัพย์และการศึกษา สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดกิจการเป็นจํานวนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โดยล่าสุด ต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โรงเรียนอุดมศึกษาลาดพร้าว ได้ส่งหนังสือถึงผู้ปกครอง เพื่อประกาศเลิกกิจการโรงเรียนอย่างเป็นทางการ โดยจะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2569 นับเป็นการ ปิดตำนาน 50 ปี โรงเรียนอุดมศึกษา ลาดพร้าว สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจในประเทศอาจเติบโตช้าลง
3.ภาระทางการคลังของรัฐที่เพิ่มขึ้น
เมื่อจำนวนผู้สูงอายุมีมากขึ้น รัฐต้องใช้งบประมาณเพื่อสวัสดิการด้านสุขภาพและเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รายได้ภาษีจากประชากรวัยทำงานกลับลดลง นี่จึงเป็นแรงกดดันต่อเสถียรภาพการคลังของประเทศในระยะยาว
ในวันที่คนเกิดน้อยลง คนเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนต้องปิดตัว ธุรกิจเริ่มหาแรงงานไม่ได้ และรัฐต้องใช้เงินดูแลคนสูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปี สิ่งที่น่ากลัวที่สุด…อาจไม่ใช่แค่ “ประชากรที่ลดลง” แต่คือ “การปรับตัวของประเทศ” ที่ยังไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้