สาธารณสุขเป็นหนึ่งในสถาบันที่สำคัญของประเทศ และส่งผลต่อสุขภาวะที่ดีของประชากร อาทิ อายุขัยเฉลี่ย ผลิตภาพทางเศรษฐกิจ และสุขภาพที่ดี ประเด็นนี้เป็นที่จับตามองหลังประเด็นความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ดึงความสนใจไปที่การสาธารณสุขของ 2 ประเทศ
การจะรู้ว่าประเทศหนึ่งมีระบบสาธารณสุขที่ดีนั้น มีดัชนี The Healcare Access and Qualty Index ที่บ่งชี้คุณภาพสาธารณสุขแต่ละประเทศได้ ตามรายงานปี 2018 ประเทศไทยถูกจัดอยูในอันดับที่ 45 จาก 195 ประเทศ ด้วยคะแนน 77.9 คะแนน ในขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับที่ 134 ด้วยคะแนน 39.4 คะแนน
ต่อไปคือการเปรียบเทียบมุมต่าง ๆ ของสาธารณสุขของไทยและกัมพูชา ที่เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพสาธารณสุขของประเทศได้
ข้อมูลจาก Hfocus กระทรวงสาธารณะสุขไทยได้รับงบประมาณในปี 2568 จำนวน 341,210 ล้านบาท หรือราว 10,402 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ งบประมาณส่วนนี้กระทรวงสาธารณสุขจัดสรรเป็น 2 กลุ่มคือ: ให้หน่วยงานของกระทรวง 16 หน่วยงาน มีทั้ง กรม สถาบันการศึกษา และหน่วยงานในกำกับ 172,285 ล้านบาท และอีกส่วนให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน และกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย 168,925 ล้านบาท
ในปีนี้โครงการบัตรทอง “30 บาท รักษาทุกที่ อัพเกรดพลัส” โดยกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้รับงบประมาณถึง 167,753 ล้านบาท มากกว่างบปี 2567 ถึง 15,014 ล้านบาท หรือหากคิดเป็นค่าเหมาจ่ายรายหัว ประชาชนจะได้เพิ่มจาก 3,472 บาทเป็น 3,844 บาท
ในปีนี้กระทรวงฯ มีการของบประมาณเพื่อใช้ในโครงการที่มีความสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข
กรมการแพทย์
กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2025 เป็นปีที่กัมพูชาเพิ่มงบประมาณด้านการแพทย์และการสาธารณสุขมาเป็น 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 18,040 ล้านบาท นับเป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณมากเป็นอันดับ 2 ในปีนี้รองจากกระทรวงศึกษาธิการ เป้าหมายคือ เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการทางการแพทย์ในประเทศ เตรียมพร้อมจัดการโรคร้ายติดต่อ และครอบคลุมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สำนักข่าว KiriPost ชี้ว่า งบประมาณด้านการสาธารณสุขกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
งบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทที่กัมพูชามอบให้ภาคส่วนด้านสาธารณสุขนั้นถูกแบ่งเป็น 4 ก้อนคือ:
จะเห็นได้ว่างบประมาณด้านสาธารณสุขของกัมพูชาในปีนี้ มีจุดมุ่งหมายหลักคือด้านอนามัยเจริญพันธ์ สุขภาวะที่ดี โภชนาการ และการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และในรายงาน The Budget In Brief 2025 ยังชี้ว่า รัฐบาลกัมพูชามุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการทางสุขภาพ เพิ่มการเข้าถึง โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ผู้หญิง และเด็ก
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เปิดเผย รายงานข้อมูลบุคลากรด้านสาธารณสุข ประจำปี 2567 ซึ่งปรากฎบุคลากรทางการแพทย์ของสธ. รวม 223,191 คน แบ่งได้ดังนี้
- แพทย์ 22,689 คน
- ทันตแพทย์ 6,064 คน
- เภสัชกร 11,394 คน
- พยาบาลวิชาชีพ 122,951 คน
- นักเทคนิคการแพทย์ 5,811 คน
- นักรังสีการแพทย์ 1,853 คน
- นักวิชาการคอมพิวเตอร์ 3,003 คน
- นักกายภาพบำบัด 3,723 คน
- นักจิตวิทยา 517 คน
- นักวิชาการสถิติ 223 คน
- นักวิชาการสาธารณสุข 25,402 คน
- นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ 1,584 คน
- เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข 4,255 คน
- เจ้าพนักงานเวชสถิติ 2,036 คน
- เจ้าพนักงานสาธารณสุข 8,437 คน
- แพทย์แผนไทย 3,249 คน
อ้างอิงจากข้อมูลของ WorldData ในปี 2021 ชี้ว่า กัมพูชามีแพทย์อยู่ 3,770 คน หรือมีแพทย์ 0.21 คนต่อประชากร 1,000 คน ในขณะที่จำนวนที่แนะนำของโลกคือ หมอ 1.71 คนต่อประชากร 1,000 คน (สหภาพยุโรปมี 4.12 และไทย 0.93)
อายุขับเฉลี่ยคนไทยปี 2025 คือ 78.1 ปี เพิ่มจากปี 2024 0.23%
ข้อมูลจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเดือนธันวาคม 2568 สรุปประเด็นสุขภาพคนไทยออกมาเป็น 7 ประเด็นน่าห่วงคือ
อายุขัยเฉลี่ยคนกัมพูชาในปี 2025 คือ 70.93 ปี เพิ่มจากปี 2024 0.28%
ตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชา โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนกัมพูชากว่า 64% ในปี 2018 และเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยฆ่าผู้ใหญ่ราว 60,000 คนในแต่ละปี คนกัมพูชาราว 23% เสียชีวิตก่อนอายุ 70 ด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดคือ: โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (24%) มะเร็ง (14%) โรคทางเดินหายใจ(4%) โรคเบาหวาน (2%)
นอกจากนี้ข้อมูลจาก WHO เดือนมีนาคม 2568 ยังชี้ว่า ผู้ใหญ่ชาวกัมพูชาถึง 1 ใน 5 เสี่ยงเสียชีวิตจากหัวใจวาย หนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง WHO ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขของกัมพูชาทำแบบสำรวจพฤติกรรมเพื่อหาสาเหตุสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มโรคดังกล่าวในปี 2566 ต่อยอดจากการสำรวจปี 2553 และปี 2559
แบบสำรวจพบว่า คนกัมพูชามีพฤติกรรมการทานเกลือมากขึ้น ในปี 2566 ผู้ใหญ่ชาวกัมพูชาบริโภคเกลือราว 9.5 กรัมต่อวัน ขณะที่ปริมาณแนะนำจาก WHO คือ 5 กรัมต่อวัน นอกจากนี้ยังมีการบริโภคแอลกอฮอลล์สูงขึ้นด้วย และผู้ใหญ่ราว 1 ใน 5 (17%) มีความดันโลหิตสูง ผู้ใหญ่ราว 6.3% มีน้ำตาลในเลือดสูงหรือเ็นโรคเบาหวาน และกว่า 19.4% มีน้ำหนักเกิน อีกทั้ง 25.5% มรปริมาณคอเลสเตอรอลสูงขึ้น
ที่มา: WHO, Hfocus, The coverage, World Bank, World Data, b2b, KiriPost