หนึ่งในปัญหาที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญคล้าย ๆ กัน นั่นคือ จำนวนเด็กแรกเกิดลดลง โดยรายงานอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารข้อมูลประชากรโลก ฉบับปี 2024 ระบุว่า ปัจจุบัน โลกมีประชากรกว่า 8 พันล้านคน และคาดว่า ภายในปี 25 ข้างหน้า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,600 ล้านคน แต่ตัวเลขนี้ต่ำกว่าการคาดการณ์เมื่อปี 2023 สาเหตุเนื่องจากแนวโน้มอัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกลดลง และการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุทั่วโลก
อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมทั่วโลกเฉลี่ยคือ ตลอดช่วงชีวิตของผู้หญิง 1 คนจะให้กำเนิดบุตร 2.2 คน ในขณะที่สัดส่วนประชากรโลกที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 10% และในบางประเทศในเอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกาเหนือ สัดส่วนดังกล่าวสูงถึง 20% หรือมากกว่านั้น
หลายประเทศทั่วโลกจึงออกมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมให้คนมีบุตรเพิ่มขึ้น Spotlight ได้รวบรวมนโยบายน่าสนใจของบางประเทศที่ “แจกหนัก” มาฝาก และชวนไปหาคำตอบพร้อมกันว่า มาตรการที่ว่า “ดี” สามารถกระตุ้นจำนวนเด็กแรกเกิดได้จริงหรือไม่ และประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงที่สุดในโลก มีนโยบายส่งเสริมการมีบุตรหรือไม่?
โปแลนด์ได้ดำเนินนโยบายหลายประการเพื่อกระตุ้นให้มีอัตราการเกิดสูงขึ้น โดยเน้นไปที่การสนับสนุนทางการเงินแก่ครอบครัว นโยบายที่โดดเด่นที่สุดคือโครงการ “Family 500+” ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2016 โดยมอบเงินสดรายเดือนสำหรับเด็กทุกคนโดยไม่พิจารณาระดับรายได้ ก่อนที่ต่อมาจะปรับอัตรา เปลี่ยนเป็น “Family 800+” ซึ่งมอบเงินอุดหนุนรายเดือน 800 ซวอตีโปแลนด์ ประมาณ 7,100 บาท สำหรับเด็กทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร
สำหรับเงินจำนวน 800 ชวอตีนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของชาวโปแลนด์ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4,666 ชวอตีโปแลนด์ หรือประมาณ 41,411 บาท ก็จะอยู่ที่ประมาณ 5 เท่า
นอกจากนี้ รัฐยังมอบสิ่งจูงใจทางการเงินอื่น ๆ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินช่วยเหลือต่าง ๆ แก่ครอบครัว การสนับสนุนด้านการดูแลเด็ก เพื่อให้พ่อแม่สามารถกลับไปทำงานได้ง่ายขึ้นหลังมีบุตร การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว และการแก้ไขปัจจัยทางสังคม เพราะรัฐบาลตระหนักว่าปัญหาความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยส่งผลต่อการตัดสินใจมีบุตร จึงพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับครอบครัว
เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2024 รัฐบาลโปแลนด์ได้ยอมรับเป็นครั้งแรกในเอกสารทางการว่า โครงการสวัสดิการครอบครัวที่เปิดตัวในปี 2016 ในนาม “500+” และปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “800+” ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการเกิดได้
รัฐบาลชุดใหม่ระบุว่า การที่อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงแรกของโครงการ อาจมาจากการที่กลุ่มประชากรในช่วงนั้นตัดสินใจมีบุตร แต่ผลดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นและจำกัด แสดงให้เห็นว่าผลระยะยาวของโครงการต่อโครงสร้างประชากรมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับงบประมาณซึ่งโครงการดังกล่าวใช้ไป 70,000 ล้านยูโร
ตั้งแต่ปี 2006 รัฐบาลเกาหลีใต้ใช้เงินมากกว่า 360 ล้านล้านวอนกับโครงการสนับสนุนครอบครัว เช่น เงินอุดหนุนเลี้ยงดูบุตร และตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ผู้เป็นพ่อแม่จะได้รับเงินสด 2 ล้านวอน หรือประมาณ 46,633 บาท เมื่อมีบุตรหนึ่งคน
นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎใหม่ให้คุณพ่อสามารถลาคลอดบุตรแบบมีค่าจ้างได้ 20 วัน และอดีตประธานาธิบดียุน ซอกยอล เคยประกาศ “วิกฤตประชากรระดับชาติ” พร้อมแผนตั้งกระทรวงใหม่เพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำ มาตรการรวมถึงการเพิ่มเงินชดเชยลาคลอด ปรับชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น ขยายอายุเกณฑ์การทำงานลดชั่วโมงสำหรับพ่อแม่เด็กเล็ก และให้เงินสนับสนุนนายจ้างที่จ้างพนักงานชั่วคราวทดแทนผู้ลาคลอด
รัฐบาลยังให้คำมั่นเพิ่มการสนับสนุนด้านการดูแลเด็ก และขยายกิจกรรมหลังเลิกเรียนในโรงเรียนประถมเพื่อช่วยลดภาระของพ่อแม่ที่ทำงาน
ในปี 2022 กรุงโซลเปิดโครงการ “Birth Support Project” มูลค่า 6.7 ล้านล้านวอน เพื่อกระตุ้นการแต่งงานและมีบุตร โดยลดค่าครองชีพของคู่แต่งงานใหม่ด้วยการจัดหาบ้านสวัสดิการ และเพิ่มจำนวนศูนย์ดูแลเด็ก และในปีนี้ กรุงโซลเตรียมมอบ 1 ล้านวอนให้คู่แต่งงานใหม่ที่จดทะเบียนในเมืองด้วย
รัฐบาลยังหันมาใช้มาตรการสร้างสรรค์ เช่น จัดกิจกรรมพบปะคนโสดในเมือง ตัวอย่างเช่นในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครโซลจัดงาน “Romance, Art Night” จับคู่ชายหญิงอย่างละ 50 คน พร้อมดินเนอร์ แชมเปญ เกมบิงโกธีมความรัก และกิจกรรมมองตากัน 10 วินาที มีผู้สมัครเกือบ 2,400 คน และกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมระบุว่าพบคู่จากงานนี้
นอกจากนี้ แม่สามารถลางานมาเลี้ยงลูกได้ 90 วัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำหรือพาร์ทไทม์ และพ่อลาได้ 10 วัน โดยยังได้เงินเดือนเต็มจำนวน รวมถึงพ่อแม่สามารถใช้วันหยุดดูแลลูกได้จนถึงอายุ 8 ปี ซึ่งหยุดได้เป็นเวลาหนึ่งปีและสามารถแบ่งเป็นครั้งละ 3 เดือนได้ แต่นโยบายครอบคลุมในกรณีที่เป็นพ่อแม่โดยสายเลือดเท่านั้น
เมื่อต้นปี 2025 ที่ผ่านมา เกาหลีใต้เปิดเผยตัวเลขอัตราการเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 ปี โดยอัตราเจริญพันธุ์ของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็น 0.75 ในปี 2024 หรือหมายความว่า ผู้หญิงหนึ่งคน ตลอดช่วงชีวิตของเธอจะให้กำเนิดบุตร 0.75 คน แม้จะฟังดูเป็นจำนวนที่น้อย แต่ก็ถือว่าเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อปีก่อนหน้า อัตราการเจริญพันธุ์ของเกาหลีใต้อยู่ที่ 0.72
เกาหลีใต้ยังมีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลกรองจากฮ่องกง โดยเมื่อไปดูจำนวนประชากรแล้วจะพบว่า เมื่อปี 2024 มีการลงทะเบียนทารกเกิดใหม่เพียงแค่ราว 240,000 คนเท่านั้นทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามแก้ปัญหาของรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเด็กเกิดใหม่ แต่ยังพยายามส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แต่งงานด้วย เพราะอัตราการแต่งงานของชาวเกาหลีใต้ก็ถือว่าต่ำมาก
แต่ในสังคมชายเป็นใหญ่แบบเกาหลีใต้ ปัญหาที่ตามมาอย่างหนึ่งคือ เมื่อรัฐบาลอนุญาตให้แม่สามารถลาคลอดได้ยาวขึ้น กลับเกิดปรากฏการณ์ทำให้ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูกมักไม่ได้รับการจ้างงาน หรือบางครั้ง ทางบริษัทก็พิจารณารับผู้ชายเข้าทำงานมากกว่าผู้หญิง
ด้วยความเป็นประเทศขนาดเล็กมีประชากรไม่มาก สิงคโปร์จึงได้ออกมาตรการมากมายเพื่อส่งเสริมการมีลูก เช่น เบบี้โบนัส โดยตั้งแต่ปี 2001 หากมีลูกสองคนพ่อแม่จะได้รับเบบี้โบนัสทั้งหมด 8,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ประมาณ 207,050 บาท รวมถึงมีกองทุนช่วยเหลือแม่ที่ทำงาน (Working Mother’s Child Relief) โดยแม่ที่มีลูกคนแรกสามารถยกเว้นภาษีเงินได้ 15% และลดเพิ่มอีกหากมีลูกคนต่อ ๆ ไป
สนับสนุนสมดุลชีวิตและการทำงาน โดยเพิ่มสิทธิลาคลอดเป็น 16 สัปดาห์ (ตามข้อมูลจาก UN) สิทธิลาพ่อ 1 สัปดาห์ พร้อมตัวเลือกให้แบ่งสิทธิลาคลอดจากแม่บางส่วน และยังมีเงินอุดหนุนการดูแลเด็ก รวมถึงการส่งเสริมการจัดชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น
ทั้งนี้ รัฐบาลยังอุดหนุนศูนย์เด็กเล็กเอกชนกว่า 320 แห่ง ในช่วงระหว่างปี 2021 – 2025 เพื่อให้ศูนย์เด็กเล็กมีราคาที่เข้าถึงได้และลดค่าใช้จ่ายผู้ปกครองที่เลี้ยงดูเด็ก
แม้ว่าในปี 2024 ที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์จะคาดหวังว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่จะเพิ่มขึ้น เพราะเป็นปีมังกร ซึ่งตามความเชื่อของชาวจีนถือว่าเป็นปีมงคล แต่กลับพบว่า อัตราการเกิดใหม่ของเด็กในปี 2024 อยู่ที่ 33,703 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 เพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งมีเด็กเกิดใหม่ 33,541 คน
อัตราการเกิดของสิงคโปร์ติดกลุ่มประเทศที่ต่ำสุดของโลก และรัฐบาลก็พยายามมาโดยตลอดเพื่อจะให้ชาวสิงคโปร์มีลูกเพิ่มขึ้น โดยออกนโยบายอย่างสม่ำเสมอ ล่าสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ก็เพิ่งออกโครงการครอบครัวขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าหากบ้านไหนมีลูก 3 คนหรือมากกว่านั้นขึ้นไปจะได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเงิน และผลประโยชน์ต่าง ๆ อีก แต่ดูเหมือนว่า ยังไม่สามารถจูงใจคนได้
จากข้อมูลของธนาคารโลกพบว่า ประเทศที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุดในโลกคือ ไนเจอร์ โดยมีอัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่เด็ก 6.8 คนต่อครอบครัว ตามมาด้วยโซมาเลีย และ ชาด ซึ่งทั้งสองประเทศตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา และมีอัตราการเกิดเท่ากันคือ 6.3 คนต่อครอบครัว
ประเทศในแถบแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารามีอัตราการเจริญพันธุ์สูงกว่าหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนบุตรในแต่ละครอบครัว เช่น
เราจะพบว่า ในประเทศที่มีอัตราการเกิดสูง สภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดีเท่ากับประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก และรัฐบาลก็ไม่มีมาตรการกระตุ้นการแต่งงานหรือการมีบุตรด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม เราพบกลับพบว่า ประเทศที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุดในโลก ทั้งไนเจอร์ โซมาเลียและชาด มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงการวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด การที่ผู้หญิงเข้าไม่ถึงการศึกษา และยังคงมีค่านิยมที่ให้ผู้หญิงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อมีบุตรจำนวนมาก
เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมทางสังคมและค่านิยมจะเป็นปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจมีลูกของผู้หญิงมากกว่าปัจจัยอื่น
ส่วนคำถามที่ว่ามาตรการกระตุ้นการมีบุตรจะต้องดีถึงระดับไหน ถึงจะช่วยแก้ปัญหาอัตราเด็กเกิดใหม่ลดลงทั่วโลกได้ ดูจะเป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ เพราะการมีครอบครัวและมีลูกเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและแตกต่างกันออกไปตามบริบทของแต่ละคน อีกทั้งในโลกที่วุ่นวาย มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สงครามและปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ปัจจัยเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการมีบุตรของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ มากกว่าการที่รัฐจะมอบอะไรให้กับพวกเธอก็เป็นได้
ที่มา sdgmove, aaastateofplay, polskieradio, aljazeera, statista.