
ใครๆ ก็อยากสร้างตัวให้รวยเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พอมองรอบตัวในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คำถามใหญ่ก็คือเด็กรุ่นใหม่จะรวยได้ยังไง ในเมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินหายากขึ้น ต้นทุนแพงขึ้น และตลาดแรงงานก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เส้นทางแบบเดิมๆ อย่างการไต่เต้าตามสายอาชีพยาวๆ หรือค่อยๆ เก็บเงินสร้างฐานะ ดูเหมือนจะต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนมากกว่าที่คนรุ่นใหม่เคยคิดไว้เยอะ
แต่ถ้ามองดีๆ คำตอบบางส่วนอาจอยู่ในลิสต์ “Self-made Billionaires Under 30” ของ Forbes เพราะตอนนี้โลกกำลังมีมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ผุดขึ้นมาเร็วแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดย Forbes ระบุว่า ในปี 2568 โลกมีมหาเศรษฐีสร้างตัวเอง (Self-made) ที่มีทรัพย์สินเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอายุต่ำกว่า 30 ปี ถึง 13 คน เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากสถิติสูงสุดเดิมในปี 2565 ที่มีเพียง 7 คน ตัวเลขนี้ไม่ได้บอกแค่ว่าคนรวยอายุน้อยลง แต่กำลังชี้ให้เห็นว่าเกมเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ สามารถปั้นความมั่งคั่งระดับพันล้านดอลลาร์ได้ภายในเวลาไม่กี่ปี
ในขณะที่สังคมกำลังกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานระดับเริ่มต้นไปจำนวนมาก ภาพอีกด้านกลับสะท้อนเรื่องตรงกันข้าม เพราะเทคโนโลยีเดียวกันนี้กำลังกลายเป็นทางลัดให้ผู้ประกอบการอายุน้อยก้าวขึ้นสู่สถานะมหาเศรษฐีได้อย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมที่เมื่อสิบปีก่อนแทบไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น AI เชิงพาณิชย์ ตลาดทำนายผล หรือแพลตฟอร์มพนันออนไลน์ วันนี้กลับทำหน้าที่เหมือน “เครื่องจักรผลิตความมั่งคั่ง” ที่ปั้นมหาเศรษฐีพันล้านในวัยที่บางคนยังไม่ถึงเกณฑ์อายุเช่ารถในสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ
จุดเปลี่ยนสำคัญของปีนี้เกิดขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม เมื่อ Intercontinental Exchange (ICE) บริษัทแม่ของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ตัดสินใจทุ่มเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Polymarket แพลตฟอร์มตลาดทำนายผล ดีลนี้ดันมูลค่ากิจการของ Polymarket พุ่งขึ้นเป็น 9 พันล้านดอลลาร์ในทันที และส่งให้ Shayne Coplan ผู้ก่อตั้งวัย 27 ปี ก้าวขึ้นแท่นมหาเศรษฐีสร้างตัวเองที่อายุน้อยที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น
Coplan อดีตนักศึกษาที่ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) เริ่มก่อตั้ง Polymarket ในช่วงแรกของการระบาดโควิด-19 ปี 2563 เพราะ Coplan มองเห็นโอกาสจากความไม่แน่นอนของโลก และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้ใช้งาน “เดิมพันอนาคต” ไม่ว่าจะเป็นผลการเลือกตั้ง การเมืองระดับโลก ไปจนถึงรางวัลในวงการบันเทิง แนวคิดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเฉพาะกลุ่ม วันนี้กลับกลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึงห้าปี
เส้นทางของ Polymarket ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่แรก แต่เริ่มเห็นทิศทางชัดเจนขึ้นเมื่อบริษัทเข้าซื้อ QCEX ซึ่งเป็นตลาดอนุพันธ์และสำนักหักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตจาก CFTC ในเดือนกรกฎาคม ดีลนี้กลายเป็นก้าวสำคัญของบริษัท เพราะเปิดทางให้ Polymarket ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลกลาง และสามารถดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่ง “มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก” ของ Shayne Coplan อยู่ได้ไม่นานนัก เพราะเพียง 20 วันเท่านั้น Coplan ก็ถูกโค่นบัลลังก์โดยผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสามของ Mercor คือ Surya Midha, Brendan Foody และ Adarsh Hiremath ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 22 ปีเท่ากันทั้งหมด กลายเป็นมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ที่อายุน้อยยิ่งกว่า และตอกย้ำภาพการแข่งขันที่ดุเดือดของยุคเศรษฐกิจเทคโนโลยีอย่างชัดเจน
Mercor คือสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ทำธุรกิจสรรหาบุคลากร ก่อตั้งขึ้นในปี 2566 โดยกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม ซึ่งต่อมาได้รับคัดเลือกเป็น Thiel Fellows รุ่นปี 2567 โมเดลธุรกิจของบริษัทคือการช่วยห้องแล็บ AI รายใหญ่ในซิลิคอนแวลลีย์หาและจัดทีมบุคลากรคุณภาพ เพื่อใช้ฝึกและพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์
ในเดือนตุลาคม นักลงทุนเอกชนประเมินมูลค่า Mercor ไว้สูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ดีลนี้ทำให้ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสามคน คือ Surya Midha, Brendan Foody และ Adarsh Hiremath ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีสร้างตัวเองที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย Midha ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในทีม ขณะที่ Foody ทำหน้าที่ซีอีโอ และ Hiremath ดูแลด้านเทคโนโลยีในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี
อิทธิพลของ AI ต่อการสร้างความมั่งคั่งไม่ได้หยุดอยู่แค่กรณีของ Mercor เท่านั้น เพราะในกลุ่มมหาเศรษฐีอายุต่ำกว่า 30 ปีจำนวนมาก ล้วนแจ้งเกิดจากสตาร์ทอัพซอฟต์แวร์ด้าน AI แทบทั้งสิ้น หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Michael Truell วัย 25 ปี ซึ่งก่อตั้ง Cursor ขึ้นในปี 2565 ร่วมกับเพื่อนอีกสามคนที่รู้จักกันสมัยเรียนอยู่ที่ MIT ที่ซานฟรานซิสโก
Cursor พัฒนาซอฟต์แวร์แก้ไขโค้ดด้วย AI ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีนักพัฒนาหลายล้านคนใช้งาน และถูกนำไปใช้ในองค์กรระดับโลกอย่าง Nvidia, Adobe และ Uber ทำให้ธุรกิจเติบโตเร็วตามกระแส AI จนสามารถสร้างรายได้ในอัตราปีละกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และทำให้บริษัทถูกประเมินมูลค่าสูงถึง 2.93 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน
Truell ซีอีโอของ Cursor เคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมกับ Aman Sanger ผู้ร่วมก่อตั้งวัย 25 ปี ที่ Horace Mann School ในนิวยอร์ก ก่อนที่วันนี้ทั้งสองจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี มีทรัพย์สินสุทธิราวคนละ 1.3 พันล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ทีมผู้ร่วมก่อตั้งของ Cursor ก็สะท้อนความเป็น “ธุรกิจเทคโนโลยีไร้พรมแดน” อย่างชัดเจน ทั้ง Sualeh Asif วัย 25 ปี จากปากีสถาน และ Arvid Lunnemark วัย 26 ปี จากสวีเดน ซึ่งต่างประสบความสำเร็จจนกลายเป็นมหาเศรษฐีจากซอฟต์แวร์ AI ตัวเดียวกัน ภาพดังกล่าวตอกย้ำว่าในยุคเทคโนโลยี ความสามารถและโอกาสสำคัญกว่าสัญชาติ และความมั่งคั่งก็ไม่ได้ผูกติดกับประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป
ถัดจากสหรัฐฯ ฝั่งยุโรปก็มีดาวรุ่งไม่แพ้กัน ในเดือนพฤศจิกายน 2567 Fabian Hedin วัย 26 ปี จากสวีเดน เปิดตัวสตาร์ทอัพแนว “vibe coding” ชื่อ Lovable ร่วมกับ Anton Osika วัย 35 ปี โดยใช้ AI ช่วยให้คนที่ไม่เคยเขียนโค้ดมาก่อน สามารถเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นเว็บไซต์ แอป หรืออาชีพเสริมออนไลน์ได้แทบจะทันที
ผลลัพธ์คือ Lovable ใช้เวลาเพียง 8 เดือน สร้างรายได้จากค่าสมาชิกในอัตราปีละ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสตาร์ทอัพซอฟต์แวร์ และถูกประเมินมูลค่าสูงถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม ส่งให้ Hedin ในฐานะ CTO มีทรัพย์สินสุทธิราว 1.6 พันล้านดอลลาร์
อีกหนึ่งชื่อที่โดดเด่นคือ Alexandr Wang วัย 28 ปี ผู้ร่วมก่อตั้ง Scale AI บริษัทด้านการติดป้ายข้อมูลเพื่อฝึกโมเดล AI ตั้งแต่ปี 2559 ร่วมกับ Lucy Guo โดยแม้ทั้งคู่จะแยกทางกันในปี 2561 แต่ Wang ยังคงพาบริษัทเติบโตต่อเนื่อง จน Meta เข้าซื้อหุ้น 49% ของ Scale ด้วยมูลค่าราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ พร้อมดึงตัวเขาไปนั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI ดีลนี้ทำให้ Wang กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในกลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี ด้วยทรัพย์สินกว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์
นอกจาก AI แล้ว ตลาดทำนายผลและธุรกิจพนันออนไลน์ก็กลายเป็นอีกแรงขับสำคัญที่ปั้นมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หนึ่งในกรณีที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ Kalshi สตาร์ทอัพตลาดทำนายผลจากนิวยอร์ก ที่ก่อตั้งโดย Tarek Mansour และ Luana Lopes Lara ซึ่งมีอายุ 29 ปีเท่ากัน ทั้งคู่เป็นนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์จาก MIT โดย Mansour มาจากเลบานอน ส่วน Lopes Lara มาจากบราซิล และเริ่มสนิทกันระหว่างไปฝึกงานที่บริษัทเทรดดิ้งเชิงปริมาณชื่อ Five Rings Capital ในปี 2561 ก่อนจะตัดสินใจจับมือกันก่อตั้ง Kalshi ในปีเดียวกัน
ปัจจุบัน Kalshi เปิดให้ผู้ใช้งานเดิมพันผลลัพธ์ของเหตุการณ์หลากหลาย ตั้งแต่การเลือกตั้ง การแข่งขันกีฬา ไปจนถึงเรื่อง Pop Culture และในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ที่มูลค่ากิจการ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ดีลนี้ส่งให้ Mansour และ Lopes Lara ก้าวขึ้นสู่สถานะมหาเศรษฐีในทันที พร้อมทำให้ Lopes Lara กลายเป็นมหาเศรษฐีหญิงสร้างตัวเองที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในวัยยี่สิบที่ทำได้ในเวลานี้
ฝั่งธุรกิจการพนันออนไลน์ก็มีชื่อที่โดดเด่นไม่แพ้กัน Ed Craven วัย 29 ปี จากออสเตรเลีย ร่วมก่อตั้ง Stake.com คาสิโนออนไลน์ที่ใช้คริปโตเป็นฐาน ตั้งแต่ปี 2560 กับ Bijan Tehrani โดยธุรกิจมาเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงการระบาดของโควิด-19 หลัง Stake เริ่มทุ่มงบจ่ายเงินให้ครีเอเตอร์และสตรีมเมอร์ถ่ายทอดสดการเล่นพนัน จนแพลตฟอร์มกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
Forbes ประเมินว่า Stake.com ซึ่งสร้างรายได้รวมราว 4.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และมีมูลค่ากิจการเกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ ส่งให้ Craven มีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 2.8 พันล้านดอลลาร์ และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีอายุน้อยที่ร่ำรวยที่สุดนอกสหรัฐฯ
ทั้งนี้ แม้จำนวนมหาเศรษฐีวัยยี่สิบจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในภาพใหญ่ คนกลุ่มนี้ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อย เมื่อความมั่งคั่งของโลกยังคงกระจุกตัวอยู่กับคนรุ่นอายุมาก ปัจจุบันยังมีมหาเศรษฐีอายุต่ำกว่า 30 ปีอีก 17 คนที่ได้ทรัพย์สินมาจากมรดกครอบครัว ทำให้รวมแล้วโลกมีมหาเศรษฐีวัยยี่สิบทั้งหมด 30 คน ขณะที่อายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐีทั่วโลกกว่า 3,100 คนยังอยู่ที่ราว 67 ปี และอย่างน้อย 500 คนมีอายุเกิน 80 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีอายุน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ส่งสัญญาณสำคัญว่าเส้นทางสู่ความมั่งคั่งกำลังเปลี่ยนไปอย่างจริงจัง AI ตลาดทำนายผล และเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ชั่วคราว แต่กำลังเขย่าโครงสร้างเดิมของระบบเศรษฐกิจโลก และเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเกมเศรษฐกิจในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ที่มา: Forbes