วันนี้ (7 ตุลาคม 2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการบริโภค “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นและฟื้นความเชื่อมั่นในการจับจ่ายของประชาชน พร้อมทั้งเปิดตัวเว็บไซต์ www.คนละครึ่งพลัส.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ให้ข้อมูลสำหรับประชาชน และร้านค้าทั่วไปอย่างเป็นทางการ
นายเอกนิติระบุว่า มาตรการนี้จะเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 และสามารถเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 0.3-0.4% ของ GDP และเป็นแรงขับสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้ถือเป็น “เรือธง” ทางเศรษฐกิจที่สานต่อจากมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อสัปดาห์ก่อน มีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับประชาชนทุกกลุ่มและกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินประสิทธิผลของมาตรการและพิจารณาออกมาตรการเสริมเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
นายเอกนิติยังกล่าวว่า การฟื้นโครงการ “คนละครึ่งพลัส” สะท้อนกลยุทธ์ “Quick Wins” หรือแนวทาง “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล โดยตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชน 20 ล้านสิทธิ ลดภาระค่าครองชีพผ่านการสมทบเงินของรัฐในลักษณะ “คนละครึ่ง” ขณะเดียวกันยังช่วยให้ร้านค้ารายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายของประชาชน
สำหรับ “พลัส” ที่เพิ่มเข้ามาในโครงการนี้ มีทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่
- ขยายอายุผู้มีสิทธิ จากเดิม 18 ปี เป็น 16 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชนที่มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เพิ่มวงเงินใช้จ่าย จาก 150 บาท เป็น 200 บาท ต่อวัน เพื่อเพิ่มแรงขับเคลื่อนต่อเศรษฐกิจฐานราก
- ปรับเงินสนับสนุนให้แก่ผู้อยู่ในระบบภาษี โดยผู้มีรายได้อยู่ในระบบภาษีจะได้รับสิทธิ 2,400 บาท ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับ 2,000 บาท
- เปิดให้ผู้ค้ารายย่อย (Micro SMEs) ที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท เข้าร่วมโครงการได้ เพื่อกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเปิดให้ใช้สิทธิ “คนละครึ่ง” ผ่านแพลตฟอร์มสั่งอาหารออนไลน์ เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงและเพิ่มการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง
- เพิ่มทักษะการค้าขายด้วยเทคโนโลยี โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการอบรมให้พ่อค้าแม่ค้าพัฒนาองค์ความรู้ด้านต้นทุน การบริหารรายจ่าย และการใช้เทคโนโลยี เช่น AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขาย
‘คนละครึ่งพลัส’ เริ่มใช้ได้เมื่อไหร่? ใช้งบประมาณเท่าใด?
สำหรับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” รัฐบาลเตรียมเปิดให้ประชาชนเริ่มใช้สิทธิได้เร็วที่สุดในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 โดยรอบใหม่นี้เปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 - 22.00 น. ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
โครงการนี้ต่อยอดจากความสำเร็จของ “คนละครึ่ง” โดยในเฟสแรกจะมีผู้ได้รับสิทธิรวมประมาณ 20 ล้านสิทธิ ด้านผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านสิทธิ ได้รับเป็นสิทธิเงินสมทบเพิ่มเติม 1,700 บาท ทบจากที่มีอยู่แล้ว 300 บาท
ในด้านงบประมาณ นายเอกนิติเปิดเผยว่า รัฐบาลจะสนับสนุนเงินอุดหนุนให้ทั้งประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินรวมกว่า 44,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 25,000 ล้านบาท และงบกลางปี 2569 จำนวน 19,000 ล้านบาท
ใครได้สิทธิ ‘คนละครึ่งพลัส’ บ้าง?
โครงการ “คนละครึ่ง” รอบใหม่ถูกออกแบบให้แตกต่างจากเฟสที่ผ่านมา โดยเพิ่มมิติด้านภาษีเข้ามาเป็นกลไกสำคัญภายใต้แนวคิด “คนละครึ่งพลัส” เพื่อให้มาตรการมีความครอบคลุมและสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น
สำหรับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” นี้ แบ่งผู้ได้รับสิทธิออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. กลุ่มผู้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่อายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไป:
- สิทธิใช้ได้จำนวน 2,400 บาท วันละ 200 บาท
- ได้รับสิทธิ 50:50 คือรัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่ายเอง 50%
2. ประชาชนทั่วไปที่อายุ 16 ปีขึ้นไป:
- สิทธิใช้ได้จำนวน 2,000 บาท วันละ 200 บาท
- ได้รับสิทธิ 50:50 คือรัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่ายเอง 50%
นอกจากนี้ โครงการรอบใหม่นี้ยังเปิดขยายสิทธิให้ครอบคลุมถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งในสมัยรัฐบาลก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รับสิทธิเข้าร่วม ส่งผลให้กลุ่มเปราะบางจำนวนหลายล้านคนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐได้โดยตรง
สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลจะโอนเงินสนับสนุนเพิ่มเติมครั้งเดียวจำนวน 1,700 บาท รวมกับวงเงินคงเหลือเดิม 300 บาท เป็นวงเงินช่วยเหลือค่าครองชีพรวมทั้งสิ้น 2,000 บาท โดยสามารถใช้จ่ายได้ตามขั้นตอนเดียวกับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐปกติ
เปิดไทม์ไลน์ วิธีการสมัคร และเกณฑ์การใช้งาน ‘คนละครึ่งพลัส’
ในด้านหลักเกณฑ์การใช้งานโครงการ “คนละครึ่ง 2568” ยังคงมีรูปแบบใกล้เคียงกับโครงการเดิมประมาณ 80-90% เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้อย่างสะดวกและไม่เกิดความสับสน โดยระบบการใช้จ่ายจะยังคงดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เป็นช่องทางหลักเช่นเดิม
นอกจากนี้ ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมโครงการในรอบที่ผ่านมา จะสามารถเข้าร่วมได้อย่างต่อเนื่องบนแอปพลิเคชั่นถุงเงิน ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้พิจารณาเปิดให้ ร้านค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Micro SMEs เข้าร่วมเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานผู้ประกอบการรายย่อยให้มีส่วนร่วมในมาตรการมากขึ้น
ล่าสุด ไทม์ไลน์และเกณฑ์การใช้งานสิทธิคนละครึ่งพลัส เป็นดังนี้
- วันที่ 15-19 ตุลาคม 2568: เปิดให้ลงทะเบียนร้านค้า โดยอาศัยระบบเดิมที่เคยใช้งานและขยายสิทธิ์ให้ร้านค้าใหม่สามารถเข้าร่วมได้ด้วย ครอบคลุมทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วไป ผู้ประกอบการบริการด้านสุขภาพและความงาม อาทิ นวด สปา ทำผม ทำเล็บ ตลอดจนบริการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ รถรับจ้างที่มีใบขับขี่รถสาธารณะ รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งมวลชนสาธารณะ
- วันที่ 20-26 ตุลาคม 2568: เปิดให้ประชาชนลงทะเบียน ผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้วสามารถยืนยันสิทธิ์ได้ทันที เนื่องจากข้อมูลยังคงอยู่ในระบบ ขณะที่ผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนมาก่อนสามารถสมัครใหม่ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
- วันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป: เริ่มใช้สิทธิ์ตามโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ได้ทันที และโครงการจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ หากมียอดใช้จ่ายไม่ถึง 200 บาทในแต่ละครั้ง ระบบจะสะสมสิทธิ์ที่เหลือไว้ให้ใช้ต่อไปจนกว่าจะครบตามกำหนด
คุณสมบัติผู้ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิคนละครึ่งพลัส
- เป็นผู้มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
- มีบัตรประจำตัวประชาชน
- ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (2) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 (3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (4) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และ (5) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5
วิธีการลงทะเบียนใช้สิทธิคนละครึ่งพลัส
- ดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง และเปิดใช้บริการ G Wallet
- กดลงทะเบียนรับสิทธิได้ตั้งแต่ วันที่ 20 ต.ค. - 26 ต.ค. 68 เวลา 06:00 - 22:00 น.
- ลูกค้าที่เคยยกเลิก G Wallet และไม่เคยมี G Wallet ต้องสมัครใช้งาน G Wallet ใหม่
- ผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ตรวจสอบผลการลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง
- ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ตรวจสอบผลการลงทะเบียนผ่าน SMS และแอปฯ เป๋าตัง
- แจ้งผลการลงทะเบียนผ่านการแจ้งเตือนบนแอปฯ เป๋าตัง และ SMS (ภายใน 3 วัน)
- ผู้ได้รับสิทธิเข้าแอปฯเป๋าตัง และกดแบนเนอร์โครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อเริ่มใช้จ่าย วันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค. 68 เวลา 06:00 - 23:00 น.
วิธีการใช้สิทธิคนละครึ่งพลัส
- อัปเดตแอปฯ เป๋าตัง เป็นเวอร์ชันล่าสุด เปิดใช้งาน G Wallet และเติมเงินเข้า G Wallet ก่อนเริ่มใช้สิทธิ
- เมื่อต้องการใช้สิทธิให้กด "สแกน QR เพื่อใช้สิทธิ" เพื่อสแกนจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จากนั้นกดปุ่มยืนยันการชำระเงิน ใส่รหัส PIN และบันทึกสลิปทำรายการสำเร็จ
- ผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส เริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค. 68 ช่วงเวลา 06:00 - 23:00 น.
- ประชาชนสั่งซื้ออาหาร/เครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีได้ตั้งแต่ 7 พ.ย. - 31 ธ.ค. 68 เวลา 06:00 - 21:00 น.
หมายเหตุ: ผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส ควรใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย. 68 ก่อนเวลา 23:00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ
คุณสมบัติร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส
1. ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสได้ต้องเป็นผู้ประกอบการร้านค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ที่มีสัญชาติไทย (ผู้ประกอบการร้านค้าฯ) โดยมีคุณสมบัติ ดังนี้
- ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือ
- ร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านค้าธงฟ้าฯ) ที่ไม่ใช่นิติบุคคล เว้นแต่เป็นร้านค้าธงฟ้าฯ ของสหกรณ์ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือ
- ร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 (พ.ร.บ. กองทุนหมู่บ้านฯ) หรือ
- ร้านค้าของวิสาหกิจชุมชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนฯ)
- ทั้งนี้ ต้องไม่เป็นร้านค้าที่มีลักษณะเป็นร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ และต้องมีการประกอบการที่สามารถตรวจสอบได้
2. เป็นผู้ประกอบการบริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม ที่มีสัญชาติไทย (ผู้ประกอบการบริการฯ) ดังนี้
- ผู้ประกอบการบริการที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือ
- ผู้ประกอบการบริการของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมือง ตาม พ.ร.บ. กองทุนหมู่บ้านฯ หรือ
- ผู้ประกอบการบริการของวิสาหกิจชุมชนตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนฯ
- ทั้งนี้ ต้องมีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งและตรวจสอบได้ และกรณีเป็นผู้ประกอบการบริการนวด สปา จะต้องได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
3. เป็นผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะ ที่มีสัญชาติไทยและไม่ใช่นิติบุคคล (ผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะฯ) ดังนี้
- ผู้ประกอบการประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (TAXI - METER) รถตู้โดยสารประจำทางที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถสองแถวรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่รถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย
- ผู้ประกอบการรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น สามล้อถีบ เป็นต้น
4. เป็นผู้ประกอบการด้านขนส่งมวลชนสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟ รถโดยสารประจำทางสาธารณะ และเรือโดยสารสาธารณะ (ผู้ประกอบการด้านขนส่งมวลชนสาธารณะฯ)
5. เป็นนิติบุคคลขนาดเล็ก เฉพาะที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 68 และงบการเงินตามมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร (ภ.ง.ด. 50) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2567 ซึ่งขายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป หรือให้บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และให้บริการขนส่งสาธารณะ โดยมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 กันยายน 2568
- ทั้งนี้ ผู้ให้บริการนวด สปา หรือผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะจะต้องได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
6. ร้านค้าจะต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (2) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 (3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (4) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และ (5) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5
7. ประเภทสินค้าและบริการ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะ โดยไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า
ทั้งนี้การกำหนดเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าและบริการของโครงการฯให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนด
วิธีการและขั้นตอนลงทะเบียนร้านค้าคนละครึ่งพลัส
- ร้านค้าใหม่สมัครเข้าร่วมโครงการ ณ จุดตั้งบูธกระทรวงมหาดไทยร่วมกับธนาคารกรุงไทย หรือ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. - 19 ธ.ค. 68
- มีบัญชีธนาคารกรุงไทย สมัครเป็นร้านค้าถุงเงินผ่าน www.ถุงเงินกรุงไทย.com และดาวน์โหลด/อัปเดตแอปฯ ถุงเงินเป็นเวอร์ชันล่าสุด
- ตรวจสอบประเภทกิจการและดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร ไปยื่นสมัครกับหน่วยงาน
- นำเอกสารที่ได้รับการยืนยันแล้ว มายื่นสมัครเข้าร่วมโครงการ ณ จุดให้บริการ
- ร้านค้าที่ผ่านการอนุมัติจะได้ SMS และการแจ้งเตือนผ่านแอปฯ ถุงเงิน
- เมื่อผ่านเข้าร่วมโครงการแบนเนอร์คนละครึ่งพลัสจะปรากฏบนแอปฯ ถุงเงิน
- กดยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขโครงการ
- เริ่มรับชำระค่าสินค้าและบริการจากประชาชน
หมายเหตุ:
- ร้านค้าบุคคลธรรมดาหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนยื่นแบบฟอร์มการสมัครร้านค้าสำหรับกระทรวงมหาดไทย
- ร้านค้านิติบุคคลรายย่อยหรือธุรกิจเฉพาะยื่นแบบฟอร์มการสมัครร้านค้าสำหรับธนาคารกรุงไทย
- ร้านค้าผูกกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีได้ตั้งแต่ วันที่ 3 พ.ย. - 31 ธ.ค. 68
- ร้านค้าฟู้ดเดลิเวอรีรับออร์เดอร์ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 68 ก่อนเวลา 21:00 น. (วันสิ้นสุดโครงการ)
- ร้านอาหาร/เครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส สามารถสมัครเข้าร่วมแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี ได้ 1 แพลตฟอร์มเท่านั้น