Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
วิจัยชี้ AI ต้าน 'ภาวะหมดไฟ' ได้ ช่วยลดงานซ้ำซาก-ดันผลผลิตพนักงาน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

วิจัยชี้ AI ต้าน 'ภาวะหมดไฟ' ได้ ช่วยลดงานซ้ำซาก-ดันผลผลิตพนักงาน

21 ก.ย. 68
14:31 น.
แชร์

ในโลกการทำงานยุคปัจจุบัน “ภาวะหมดไฟ” (Burnout) กำลังกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทุกอุตสาหกรรมต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพจิตหรือความเหนื่อยล้าส่วนบุคคล แต่สะท้อนเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน องค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงขั้นจัดให้ภาวะหมดไฟเป็น “ปรากฏการณ์ในการทำงาน” ขณะที่งานวิจัยล่าสุดจาก The American Journal of Preventive Medicine ประเมินว่า บริษัทสหรัฐฯ อาจต้องสูญเสียระหว่าง 4,000-21,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อพนักงานหนึ่งคนต่อปี หรือรวมแล้วสูงถึง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับองค์กรที่มีพนักงาน 1,000 คน

ในขณะที่ปัญหานี้ทวีความรุนแรง เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังถูกมองว่าเป็นตัวแปรใหม่ในการจัดการกับภาวะหมดไฟ จาก ChatGPT ที่ช่วยสร้างสรรค์และสรุปข้อมูล ไปจนถึง Copilot ที่ทำงานซ้ำแทนมนุษย์ AI ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพียงเพื่อลดภาระ แต่ยังกลายเป็นกลยุทธ์เชิงธุรกิจที่องค์กรใหญ่ทั่วโลกเริ่มทดลองใช้ เพื่อลดความเหนื่อยล้าของพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และอาจช่วยประหยัดต้นทุนระดับหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

AI ช่วยแบ่งเบาภาระและตรวจจับความเสี่ยง

หลายองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพและภาวะหมดไฟ (burnout) ที่กลายเป็นปัญหาเรื้อรังในที่ทำงาน เครื่องมืออย่าง ChatGPT และ Copilot จึงถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การเขียนสรุปข้อมูล การค้นหาข้อมูลพื้นฐาน หรือการจัดการงานเชิงโครงการที่ต้องอาศัยการประสานงาน 

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและ KPMG International ซึ่งสำรวจแรงงานกว่า 32,000 คนใน 47 ประเทศ พบว่า 58% ของพนักงานที่ตอบแบบสำรวจดังกล่าวใช้ AI อย่างจริงจังเพื่อช่วยในการทำงาน และกว่า 1 ใน 3 ใช้เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกวัน แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมใหม่ แต่กำลังกลายเป็น “เครื่องมือมาตรฐาน” ที่ฝังอยู่ในกิจวัตรการทำงานแล้ว

นอกจากนี้ สิ่งที่โดดเด่นคือ งานวิจัยล่าสุดระบุว่า AI ไม่เพียงช่วยลดงานซ้ำซาก แต่ยังมีบทบาทเชิงจิตวิทยาในการป้องกันและบรรเทา ภาวะหมดไฟทางอารมณ์ (emotional burnout) ด้วย การสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านไอที 200 คนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 พบว่า องค์กรที่ใช้ AI อย่างจริงจังมีอัตราการหมดไฟลดลงถึง 25% และระบบยังสามารถตรวจจับพนักงานราว 30% ที่มีความเสี่ยงหมดไฟจากการทำงานยาวนานและการมีส่วนร่วมต่ำลงได้ทันที ทำให้องค์กรสามารถออกมาตรการเชิงป้องกัน เช่น การลดภาระงาน การปรับทีม หรือการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต ก่อนที่ปัญหาจะบานปลาย

ในการลดภาระงานของพนักงาน ดร. Jenna Glover ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายคลินิกของ Headspace อธิบายว่า AI ทำหน้าที่เสมือน “เพื่อนร่วมงานที่มีประโยชน์มาก” เพราะ AI สามารถรับภาระงานที่ใช้พลังสมองสูงไปทำแทนพนักงานได้ ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ขณะที่ Francis Hellyer ซีอีโอของ Tickadoo เสริมว่า AI มีศักยภาพช่วยลดความเครียดจริง ผ่านคำแนะนำเฉพาะบุคคล ตั้งแต่การเตือนให้พักเบรกสั้น ๆ เพื่อรักษาสมาธิ ไปจนถึงการจัดสมดุลงานในทีม เพื่อป้องกันไม่ให้ใครรับภาระเกินไป

ในเชิงปฏิบัติ AI ยังทำได้มากกว่าการ “ช่วยงาน” เพราะสามารถทำหน้าที่เป็นระบบเฝ้าระวัง ตรวจสอบภาระงาน แจ้งเตือนเมื่อเกิดความไม่สมดุล และส่ง “pulse surveys” เก็บฟีดแบ็กจากพนักงานแบบเรียลไทม์ หลายองค์กรเริ่มนำมาใช้อย่างจริงจัง เช่น Headspace ที่เปิดตัว “Ebb” ผู้ช่วย AI ที่ปัจจุบันถูกใช้งานแล้วในกว่า 2,000 องค์กรทั่วโลก โดยทำหน้าที่ช่วยลดความเครียด เสริมสร้างพฤติกรรมการทำงานที่ดีขึ้น และยังช่วย จัดการความวิตกกังวล (anxiety management) ได้ด้วยอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี แม้พนักงานทั่วโลกจะเริ่มนำ AI มาใช้ช่วยทำงานแล้ว ผลสำรวจจาก GoTo และ Workplace Intelligence ในกลุ่มพนักงานและผู้บริหารด้านไอที 2,500 คนทั่วโลก ชี้ว่าพนักงานในแบบสำรวจยังคงเสียเวลาเฉลี่ย 2.6 ชั่วโมงต่อวัน หรือราว 13 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไปกับงานที่จริง ๆ แล้ว AI สามารถเข้ามาช่วยได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเชิงธุรการหรืองานเอกสารทั่วไป ตัวเลขนี้เทียบเท่ากับเกือบหนึ่งในสามของชั่วโมงทำงานปกติ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ AI จะถูกนำมาใช้งานแล้ว แต่หลายองค์กรยังใช้ไม่เต็มศักยภาพ

เมื่อ AI อาจกลายเป็นตัวเร่งภาวะหมดไฟ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AI จะมีศักยภาพสูงในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน แต่ก็มีข้อกังวลว่า AI อาจเป็นดาบสองคม งานวิจัยของ Quantum Workplace ซึ่งถือเป็นฐานข้อมูลประสบการณ์พนักงานที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ครอบคลุมพนักงานกว่า 700,000 คนใน 8,000 องค์กร พบว่า 45% ของแรงงานที่ใช้ AI เป็นประจำมีแนวโน้มประสบภาวะหมดไฟมากกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใช้ไม่บ่อย (38%) และผู้ที่ไม่ใช้เลย (35%) ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าการใช้ AI อาจไม่ได้ช่วยลดความเครียดเสมอไป แต่อาจเพิ่มแรงกดดันในรูปแบบใหม่แทน

Caroline Stokes ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมองค์กรและการทำงาน เตือนว่า การใช้ AI ตลอดทั้งวัน “ไม่ต่างอะไรจากการออกกำลังกายต่อเนื่อง 9 ชั่วโมงในยิม” สมองของมนุษย์ยังคงต้องการการหยุดพัก รีเซ็ต และการฟื้นฟู หากละเลยส่วนนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือความเหนื่อยล้าสะสม นอกจากนี้ เธอยังอธิบายว่า AI สามารถสร้างข้อมูลและคำตอบได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้จมอยู่กับข้อมูลจำนวนมหาศาลหรือ “หลงเข้าไปในหลุมกระต่าย (rabbit hole) ของข้อมูล” โดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้พลังงานและสมาธิลดลงอย่างรวดเร็ว

อีกประเด็นที่เป็นความท้าทายใหญ่คือความรู้และทักษะด้านการใช้ AI (AI literacy) ไม่ใช่ทุกคนจะมีเพียงพอในการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขาดความเข้าใจทำให้หลายคนรู้สึกว่า AI กลับสร้างภาระงานมากกว่าที่จะช่วยลด ดร. Glover ชี้ว่า แม้ AI จะช่วยทำให้บางกระบวนการเสร็จเร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริงพนักงานจำนวนมากกลับถูกมอบหมายงานเพิ่มเข้ามา “แทนที่ภาระจะน้อยลง กลับกลายเป็นการเปิดพื้นที่ให้งานใหม่ ๆ ถูกกองทับบนโต๊ะมากขึ้น” ปัญหานี้สะท้อนความเสี่ยงว่าหาก AI ถูกใช้อย่างผิดวิธี อาจเพิ่มแรงกดดันให้กับบุคลากรแทนที่จะช่วยผ่อนคลาย

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในเชิงโครงสร้างองค์กร หากผู้นำเลือกใช้ AI เพียงเพื่อทดแทนจำนวนพนักงานโดยไม่วางกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ก็อาจกำลังซ้ำเติมปัญหาภาวะหมดไฟให้รุนแรงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งต่างจากการใช้ AI อย่างมีแผนที่เน้นการเสริมศักยภาพของบุคลากร แทนที่จะใช้เพื่อแทนที่แรงงานโดยตรง

ท้ายที่สุด Caroline Stokes ได้สรุปอย่างชัดเจนว่า AI ไม่ควรถูกมองเพียงแค่เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มทักษะ แต่คือการปฏิวัติวิธีการทำงานทั้งระบบ หากผู้นำองค์กรสามารถบูรณาการ AI ได้อย่างสมดุลและมีกรอบที่เหมาะสม มันจะกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหมดไฟ เสริมสร้างสุขภาวะให้กับทีม และผลักดันผลลัพธ์ทางธุรกิจให้แข็งแรงในระยะยาว


ที่มา: CNBC

แชร์
วิจัยชี้ AI ต้าน 'ภาวะหมดไฟ' ได้ ช่วยลดงานซ้ำซาก-ดันผลผลิตพนักงาน