สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า อุตสาหกรรมกัญชาไทยที่เคยถูกยกให้เป็น “สวรรค์กัญชาแห่งเอเชีย” กำลังได้รับโอกาสครั้งใหม่ การขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกจับตาว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพาอุตสาหกรรมนี้ก้าวพ้นความไม่แน่นอน และเปิดทางสู่การฟื้นตัวในอนาคต
ความผันผวนทางนโยบายในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้สร้างทั้งความหวังและความกังวลแก่ผู้ประกอบการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดกัญชาที่ยังถือว่าใหม่และไม่มั่นคง ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ โดยเฉพาะความพยายามผลักดันให้กัญชากลับไปอยู่ในสถานะยาเสพติด ได้บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำให้ธุรกิจจำนวนมากเผชิญปัญหาในการดำเนินงาน
การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้มีบทบาทสำคัญในการปลดล็อกกัญชาในปี 2565 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข จึงถูกมองว่าเป็น “ลมหายใจใหม่” สำหรับอุตสาหกรรมนี้ การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่าท่าทีของรัฐจะผ่อนคลายลง และบรรยากาศโดยรวมจะเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมากกว่าที่ผ่านมา
ประเทศไทยสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2565 ด้วยการเป็นชาติแรกในเอเชียที่ปลดล็อกกัญชา การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สร้างทั้งความหวังด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และรายได้เกษตรกร แต่ก็จุดชนวนความกังวลจากสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อเยาวชนและปัญหาการเสพติด
การแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดเมื่อปี 2565 ทำให้กัญชาถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ การขับเคลื่อนนี้นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะรัฐมนตรีสาธารณสุขในขณะนั้น โดยพรรคได้ใช้ “กัญชาถูกกฎหมาย” เป็นหนึ่งในนโยบายหลักในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2562 เพื่อดึงแรงสนับสนุนจากฐานเสียงของพรรคอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีรายได้ต่ำ โดยพรรคสัญญากับเกษตรกรว่ากัญชาจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับประชาชนทั่วประเทศ
หลังการปลดล็อก อุตสาหกรรมกัญชาไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว มีร้านจำหน่ายกัญชาหลายพันแห่งผุดขึ้นทั่วประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ไปจนถึงเมืองท่องเที่ยวชายทะเล อุตสาหกรรมนี้ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีกฎหมายเข้มงวดเกี่ยวกับกัญชา การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดนี้ทำให้ไทยถูกมองว่าเป็น “สวรรค์ของกัญชา” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม กระแสต่อต้านก็ตามมาอย่างรวดเร็ว หลังมีข้อกล่าวหาว่าตลาดกัญชาขาดมาตรการควบคุมที่ชัดเจน สื่อท้องถิ่นรายงานปัญหาการเสพติดและผลกระทบอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่ไม่ควรเข้าถึงกัญชาได้ตามกฎหมาย
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งเข้ามามีอำนาจในอีกหนึ่งปีหลังการปลดล็อก เคยประกาศจะทำให้กัญชากลับมาเป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกครั้ง แต่ก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันจากพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ขณะเดียวกัน ฝ่ายเพื่อไทยก็ถูกวิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวและผู้ประกอบการว่าแนวนโยบายเต็มไปด้วยความสับสนและอาจมีเจตนาทางการเมืองแอบแฝง
ในที่สุด เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลเพื่อไทยได้ออกคำสั่งใหม่ที่เข้มงวดขึ้น โดยห้ามร้านจำหน่ายกัญชาแก่ลูกค้าที่ไม่มีใบสั่งแพทย์ พร้อมทั้งจัดประเภทดอกกัญชาเป็น “สมุนไพรควบคุม” ผู้ที่ฝ่าฝืนอาจเผชิญโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือราว 614 ดอลลาร์สหรัฐ
ต่อมาในเดือนกันยายน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎระเบียบด้านกัญชา ก็ได้ประกาศแนวปฏิบัติใหม่ โดยอนุญาตให้ร้านขายกัญชาได้ในปริมาณจำกัด สำหรับผู้ที่มีใบสั่งแพทย์เพื่อรักษา 5 กลุ่มอาการ ได้แก่ นอนไม่หลับ อาการปวดเรื้อรัง ไมเกรน โรคพาร์กินสัน และภาวะเบื่ออาหาร ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของรัฐที่จะสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์กับการควบคุมผลกระทบต่อสังคม
การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน ซึ่งเป็นนายกฯ คนที่ 3 ของไทยภายในเวลาเพียง 2 ปี จึงถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางสำคัญ เขาได้รับแรงสนับสนุนจากพรรค People’s Party หรือพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุดในสภา และนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อนุทินประกาศว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน และเร่งเดินหน้ากระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ
ต่างจากรัฐบาลเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทยภายใต้การนำของนายอนุทินเลือกเดินสายกลาง โดยคงการปลดล็อกกัญชาไว้ แต่เพิ่มความเข้มงวดด้านกฎระเบียบเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในเชิงสันทนาการเกินขอบเขต ภาพลักษณ์ของนายอนุทินในฐานะ “ราชันย์กัญชา” ซึ่งสื่อทั้งในและต่างประเทศขนานนาม ยิ่งถูกตอกย้ำเมื่อเขาสวมเสื้อลายกัญชาเข้าพบทีมว่าที่รัฐมนตรี เพียงหนึ่งวันหลังจากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
หากย้อนกลับไปในปี 2563 นายอนุทินยังเป็นผู้สร้างภาพจำสำคัญต่อการผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมาย เขาเคยถือกล้ากัญชาเข้าร่วมพิธีปลูกภายในโรงเรือนเพื่อการแพทย์ ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก สะท้อนถึงบทบาทของนักการเมืองที่วางเดิมพันทางการเมืองกับกัญชาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นายรัฐพล แสนรักษ์ เจ้าของร้าน Highland Cafe ย่านถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวที่มีนักแบ็กแพ็กเกอร์จำนวนมาก กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจไม่ได้ทำให้กฎหมายเปลี่ยนแปลงในทันที แต่จะส่งผลต่อ “บรรยากาศของการบังคับใช้” มากกว่า “อาจจะมีความเข้มงวดน้อยลงในการปิดร้าน หรือการจัดฉากเพื่อหวังผลทางการเมือง” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าสภาพนโยบายที่กลับไปกลับมาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้แม้แต่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายก็อยู่รอดได้ยาก ต้นทุนการปรับปรุงกระบวนการเพาะปลูกที่สูงขึ้น และข้อกำหนดเรื่องใบสั่งแพทย์ ได้ผลักผู้เล่นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดมืดแล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายอนุทินอาจอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน ซึ่งทำให้การคาดหวังการปฏิรูปเชิงโครงสร้างหรือการผ่านร่างกฎหมายกัญชาที่รออยู่เป็นเรื่องไม่สมจริง
“เป็นเรื่องน่ากังวล เพราะถ้าพรรคอื่นที่มีนโยบายต่างออกไปชนะเลือกตั้งครั้งหน้า อุตสาหกรรมกัญชาก็จะกลับเข้าสู่ความปั่นป่วนอีกครั้ง” นายประสิทธิชัย หนูนวล เลขาธิการของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยกล่าวกบสำนักข่าวบลูมเบิร์ก “นี่คือเหตุผลที่เครือข่ายของเรามุ่งมั่นผลักดันให้ร่างกฎหมายกัญชาผ่านโดยเร็วที่สุด หลังรัฐบาลใหม่เข้ารับตำแหน่งหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า”
อ้างอิง: Bloomberg