การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงมติพรรคว่าจะสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขณะเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานยุบสภาไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน โดยให้เหตุผลว่าเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงยืนอยู่ต่อหน้าสองทางเลือกที่มีความหมายอย่างยิ่งยวด หนึ่งคือการเดินหน้าสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน อีกหนึ่งคือการยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งสองทางเลือกนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนทิศทางการเมืองที่แตกต่าง แต่ยังจะกำหนดอนาคตการบริหารประเทศและความต่อเนื่องของนโยบายสำคัญในหลายด้าน
บทความนี้ SPOTLIGHT จึงชวนผู้อ่านมาพิจารณาสองฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ของ Innovest X เพื่อทำความเข้าใจว่าหากประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่ทันที เศรษฐกิจจะเคลื่อนไปในทิศทางใด และหากเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น โครงสร้างและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
การเมืองไทยในปัจจุบันเดินมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเส้นทางข้างหน้ามีเพียงสองทางเลือกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นคือการได้ “นายกรัฐมนตรีอนุทิน” จากการโหวตในรัฐสภา หรือการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยว่าจะทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการยุบสภาตามที่รัฐบาลรักษาการเสนอหรือไม่
สำหรับเส้นทางแรก หากนายอนุทิน สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้สำเร็จ รัฐบาลใหม่จะตกอยู่ในเงื่อนไข 5 ประการที่พรรคประชาชนวางไว้ คือ
ดังนั้น ตามไทม์ไลน์ที่ Innovest X ประเมินไว้ เดือนกันยายน 2568 จะเป็นช่วงที่สภาฯ ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมกับเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ ตุลาคม 2568 คณะรัฐมนตรีใหม่จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีประเด็นสำคัญอย่างการเจรจาการค้ากับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ และการเร่งรัดข้อตกลงการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป รวมถึงพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลตลาดทุน ระหว่างพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ครม. จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 1.1 แสนล้านบาท เพื่อรองรับแรงกดดันจากภาษีนำเข้า ขณะที่เดือนมกราคม 2569 รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน และเข้าสู่การพิจารณาร่างงบประมาณปี 2570
กุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2569 จะเป็นจังหวะที่รัฐบาลต้องเตรียมการยุบสภาตามเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้กระบวนการงบประมาณหยุดชะงักชั่วคราว ก่อนที่ในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม จะมีการจัดการเลือกตั้งใหญ่ และรัฐสภาจะเข้าสู่การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง กระบวนการด้านงบประมาณคาดว่าจะล่าช้าออกไป 1-2 เดือน และเมื่อถึงเดือนมิถุนายน 2569 ร่างงบประมาณปี 2570 จึงจะผ่านคณะรัฐมนตรีและส่งต่อเข้าสู่กระบวนการกฤษฎีกาได้
ทั้งนี้ หากเส้นทางการเมืองไทยมิได้มุ่งไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยมีนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับหันไปสู่การยุบสภาและเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปใหม่ Innovest X ประเมินว่าในเดือนกันยายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีซึ่งทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ยื่นคำสั่งยุบสภา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการคืนอำนาจให้ประชาชน หลังจากนั้นเดือนตุลาคม 2568 คณะรัฐมนตรีรักษาการจะทำหน้าที่วางแผน เตรียมขั้นตอนและกลไกสำหรับการจัดการเลือกตั้ง
ต่อมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ประเทศจะเข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไป การหาเสียงและการใช้สิทธิ์ของประชาชนจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ ก่อนจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่จากผลลัพธ์นั้น เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม 2569 จะเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลใหม่เริ่มจัดตั้งคณะรัฐมนตรี พร้อมเข้าสู่กระบวนการถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม อาจมีประเด็นปัญหาทางกฎหมายและข้อถกเถียงเกิดขึ้นจากฝ่ายที่เห็นว่าการยุบสภาโดยรองนายกรัฐมนตรีผู้รักษาการไม่ชอบด้วยอำนาจ ซึ่งมีโอกาสนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาล
สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2569 ตลอดจนเมษายนถึงพฤษภาคม และต่อเนื่องไปจนถึงมิถุนายน 2569 จะเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่ของเสถียรภาพรัฐบาลใหม่ ทิศทางการกำหนดนโยบาย และความเป็นไปได้ของการเผชิญแรงกดดันทั้งจากภายในประเทศและจากข้อท้าทายทางกฎหมายที่อาจยังคงดำเนินอยู่
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสองทามไลน์ หากพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมตัดสินใจเสนอให้นายอนุทินขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เงื่อนไขสำคัญคือทั้งพรรคกล้าธรรมและพรรคประชาชนต้องโหวตสนับสนุน ซึ่งหากรวมเสียงแล้วจะได้ พรรคภูมิใจไทย 123 เสียง กล้าธรรม 26 เสียง และประชาชน 142 เสียง รวมทั้งสิ้น 291 เสียง เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลและมีความเป็นไปได้สูงในเชิงตัวเลขทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้นี้ยังแฝงความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (1) รัฐบาลอาจมีอายุสั้นและขาดเสถียรภาพในระยะยาว และ (2) จำเป็นต้องจัดสรรตำแหน่งสำคัญในกระทรวงให้กับคนนอกเพื่อประคับประคองเสียงสนับสนุน ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการถูกท้าทายด้วยคดีความหรือการตรวจสอบจากองค์กรอิสระที่อาจกระทบต่อพรรคประชาชน รวมถึงความเป็นไปได้ของการยุบสภาก่อนกำหนด
ต่อเศรษฐกิจโดยรวม รัฐบาลลักษณะนี้อาจสร้างเสถียรภาพได้บ้างในระยะสั้น และสามารถขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูประบบราชการ ระบบสาธารณสุข และภาคเกษตร แต่หากไม่สามารถสานต่อนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยชุดก่อน หรือเกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ ความต่อเนื่องทางนโยบายจะสะดุดและส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยตรง
ในเชิงตัวเลข ผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 0.3% ถึง -0.3% สะท้อนความไม่แน่นอนสูงและความเปราะบางของเสถียรภาพการเมืองต่อการบริหารเศรษฐกิจ
ในอีกฉากทัศน์หนึ่ง หากมีการยุบสภาโดยพรรคเพื่อไทย สถานการณ์จะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ไม่สามารถหาข้อยุติทางการเมืองร่วมกันได้
ความเสี่ยงสำคัญอยู่ที่การถูกกดดันจากหลายฝ่ายต่อความชอบธรรมของกระบวนการยุบสภา เนื่องจากเป็นการตัดสินใจโดยรองนายกรัฐมนตรีนายภูมิธรรม ซึ่งทำหน้าที่รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ประเด็นข้อถกเถียงจึงอยู่ที่ว่าบุคคลในตำแหน่งดังกล่าวมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการยุบสภาหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้การเลือกตั้งครั้งใหม่ถูกตั้งข้อสงสัยหรือแม้กระทั่งเป็นโมฆะ โดยเฉพาะหากมีพรรคการเมืองหลักบางพรรคปฏิเสธที่จะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ซึ่งมีแบบอย่างเกิดขึ้นแล้วในปี 2549 และ 2557
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ การยุบสภาในลักษณะนี้จะสร้างบรรยากาศความไม่แน่นอน ทำให้ภาคเศรษฐกิจชะงักงัน เนื่องจากการกำหนดนโยบายสาธารณะและการเบิกจ่ายงบประมาณหยุดชะงัก ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลง สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะอึมครึม และไม่เป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ในเชิงตัวเลข ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คาดการณ์ให้อยู่ในช่วงแคบเช่นเดียวกัน คือ 0.3% ถึง -0.3% สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง