
งานวิจัยใหม่เตือน เมลาโทนิน (Melatonin) อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิดอีกต่อไป กินติดต่อกันเกิน 1 ปี สุ่มเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลว
หลายคนเผชิญอาการนอนไม่หลับ ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่เจอในแต่ละวัน ตั้งแต่ปัจจัยทางร่างกาย เช่น อาการปวด, โรคเรื้อรัง, หรือผลข้างเคียงจากยา ปัจจัยทางจิตใจ เช่น ความเครียด, ความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น แสงสว่างและเสียงดัง รวมถึงพฤติกรรมก่อนนอนบางอย่างที่ส่งผล เช่น ดื่มคาเฟอีนก่อนนอน เป็นต้น
และเมื่อต้องพักผ่อน หลายคนจึงหันไปพึ่งตัวช่วยในการช่วยให้ตัวเองนอนหลับได้ อย่าง เมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยทางการแพทย์นำเมลาโทนินที่สังเคราะห์ขึ้นมาช่วยในการรักษาสมดุลการนอน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอน
แต่ล่าสุดใครที่กำลังใช้เมลาโทนินอยู่ อาจจะต้องระมัดระวังขึ้น เมื่อ ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท แชร์งานวิจัยใหม่เตือนผู้ใช้เมลาโทนินเสริมนานเกิน 1 ปี อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะหัวใจล้มเหลว โดยมีเนื้อหาดังนี้
อันนี้สำคัญ - เมลาโทนิน ยานอนหลับ อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด คนเป็นโรคนอนไม่หลับเยอะ คนก็รู้ว่าทานยานอนหลับมากไปไม่ดี อาจเสี่ยงสมองเสื่อมและติดยา หลายคนเลี่ยงโดยการใช้เมลาโทนินเพราะบอกว่าเป็นสารสื่อประสาท หรือฮอร์โมนธรรมชาติ ปลอดภัย ไม่อันตราย กินนานๆ ก็สบายๆ เพราะเลียนแบบสมองร่างกายปกติ แต่วันนี้อ่านข่าวประกาศงานวิจัย เอ...มันไม่ใช่แล้วหากกินนานๆ งานวิจัยใหม่เตือน! เมลาโทนินอาจไม่ปลอดภัยเท่าที่คิด
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา American Heart Association (AHA) ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยในงานประชุม Scientific Sessions 2025 โดยระบุว่า “การใช้เมลาโทนินเสริมนานเกิน 1 ปี อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะหัวใจล้มเหลว การเข้ารักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ”
วิจัยนี้ (American Heart Association Newsroom (2025) - Long-term use of melatonin supplements to support sleep may have negative health effects) มาดูรายละเอียดวิจัยกัน
การศึกษาจากฐานข้อมูลผู้ป่วยกว่า 130,000 คน ที่มีภาวะนอนไม่หลับและใช้เมลาโทนินต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี พบว่า พวกเขามีโอกาสถูกวินิจฉัยว่าเป็น โรคหัวใจล้มเหลว เข้ารักษาในโรงพยาบาลจากภาวะนี้ หรือแม้แต่เสียชีวิตจากทุกสาเหตุ มากกว่าผู้ที่ไม่ใช้เมลาโทนิน
ข้อมูลถูกดึงมาจาก TriNetX Global Research Network ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) ที่มีข้อมูลผู้ป่วยจากหลายประเทศ ผู้ป่วยที่ใช้เมลาโทนินนานเกิน 1 ปีถูกจัดอยู่ในกลุ่มเมลาโทนิน เทียบกับกลุ่มที่มีอาการนอนไม่หลับเหมือนกันแต่ ไม่เคยใช้เมลาโทนินเลย (กลุ่มควบคุม)
ผู้ที่ใช้เมลาโทนินระยะยาวมีความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจล้มเหลวสูงขึ้นถึง 90% เทียบกับกลุ่มควบคุม (4.6% เทียบกับ 2.7%) ความเสี่ยงยังคงสูงถึง 82% แม้เปลี่ยนเงื่อนไขให้เข้มงวดขึ้น เช่น ต้องมีใบสั่งยามากกว่า 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย 90 วัน
มีโอกาสเข้ารักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวมากขึ้นถึง 3.5 เท่า (19.0% เทียบกับ 6.6%) มีอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุสูงขึ้นเกือบ 2 เท่า (7.8% เทียบกับ 4.3%) ภายในช่วงเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้เป็นเพียง “การศึกษาเบื้องต้น” (abstract) ที่นำเสนอในงานประชุมวิชาการ AHA ประจำปี 2025 และ ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการแบบ peer-reviewed จึงยังไม่สามารถสรุปว่าเมลาโทนินเป็น “สาเหตุโดยตรง” ได้
และเมลาโทนินในข้อมูลนี้ ไม่ทราบขนาดว่าเท่าไหร่ แล้วมันเกี่ยวกับหัวใจได้ยังไง? อาจารย์คิดว่า มี 3 ทฤษฎี
1. เมลาโทนินอาจรบกวนจังหวะชีวภาพ (Circadian Rhythm) ของหัวใจ
เมลาโทนินมีบทบาทสำคัญในการควบคุม นาฬิกาชีวิต (biological clock) ไม่ใช่แค่สมอง แต่รวมถึงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงหัวใจหัวใจเองก็มี “cardiac circadian rhythm” ซึ่งควบคุมการทำงานตามรอบวัน เช่น อัตราการเต้น ความดันเลือด ฮอร์โมน ฯลฯ การเสริมเมลาโทนินจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง อาจ รบกวน จังหวะชีวภาพของหัวใจ ทำให้การควบคุมการเต้นของหัวใจผิดปกติ เช่น Arrhythmia, ความดันผิดปกติ ฯลฯ
2. ฤทธิ์ของเมลาโทนินต่อหลอดเลือดและหัวใจ (Melatonin Receptors in Cardiovascular System)
เมลาโทนินจับกับ melatonin receptors (MT1 และ MT2) ที่พบได้ทั้งในสมองและระบบหัวใจหลอดเลือด โดยเฉพาะ MT1 มีผลทำให้ หลอดเลือดหดตัว MT2 มีผลทำให้ หลอดเลือดคลายตัว หากใช้เมลาโทนินในปริมาณสูง/นาน อาจทำให้ระบบนี้ เสียสมดุล นำไปสู่ ความดันต่ำเกินไปตอนกลางคืน (nocturnal hypotension) หรือ ความดันแปรปรวน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะยาว
3. อาจมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนและระบบประสาทอัตโนมัติ
เมลาโทนินสัมพันธ์กับ การยับยั้งระบบ sympathetic nervous system (ระบบสู้หรือหนี) ซึ่งในระยะสั้นอาจเป็นผลดี เพราะช่วยให้สงบและหลับ แต่การกดระบบ sympathetic แบบเรื้อรัง อาจทำให้หัวใจ ขาดการกระตุ้นจำเป็นในบางเวลา ลดความสามารถในการปรับตัว เช่น ในช่วงออกกำลังกาย หรือช่วงที่ร่างกายต้องการเลือดเพิ่ม อาจเป็นภาวะเสี่ยงต่อ หัวใจล้มเหลวชนิด preserved EF (HFpEF) ได้
คิดว่าการรักษาการนอนหลับมันมีวิธีอื่นครับ เช่น การลดเครียด การใช้ CBT การปรับ sleep hygiene หรือ การใช้ยานอนหลับบางชนิดที่ไม่ติดและปลอดภัย หรืออาจใช้สลับกันไม่ใช้ยาใดยาหนึ่งนานเกินไป รวมถึงการรักษาโดยไม่ใช้ยา เช่น TMS ครับ
ที่มา : สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์ , สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา
Advertisement