
เป็นประเด็นร้อนฉ่าในสังคมไทย เมื่อมีการเผยแพร่ตัวอย่างเนื้อหาในรายการดังรายการหนึ่ง ซึ่งแขกรับเชิญของรายการกล่าวว่า “นมในไทยส่วนมากไม่ใช่นมแท้ มันคือนมผงผสมบลาบลาบลา” และเธอสรุปว่า ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้นมโคในไทยคุณภาพไม่ดีเหมือนนมของต่างประเทศ เป็นสาเหตุที่หลายคนดื่มนมวัวในไทยแล้วเกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด เป็นผื่นคันตามตัว
ตัวอย่างเนื้อหาสั้นๆ ในรายการดังกล่าวก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของคำพูดดังกล่าว มีผู้รู้ออกมาให้ข้อมูลแย้งว่าเนื้อหาที่พูดกันในรายการนั้นไม่ตรงกับความจริง และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนเช่นนั้นจะส่งผลให้คนในอุตสาหกรรมโคนมและนมโคไทยเดือดร้อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าผู้พูดมีเจตนาด้อยค่านมไทยเพื่อหวังขายสินค้าของตนเองและสินค้าที่ตนเองเป็นพรีเซนเตอร์หรือไม่
ฝั่งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างกรมปศุสัตว์ก็รีบออกมายืนยันคุณภาพของนมโคไทยว่าไม่ด้อยกว่ามาตรฐานสากลแน่นอน โดยนายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ยืนยันเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนว่า น้ำนมดิบไทยที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากกรมปศุสัตว์ ปลอดภัยตามมาตรฐานสากลทุกขั้นตอน โดยกรมปศุสัตว์ได้ร่วมมือกับสหกรณ์ ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบและภาคเอกชน ในการดูแลคุณภาพน้ำนมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ดื่มนมสดแท้ สะอาด และมีคุณค่าทางโภชนาการ
ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงของอุตสาหกรรมนมไทย คือ ผลิตภัณฑ์นมที่วางขายในตลาดมีทั้งนมโคแท้ 100% นมโคปรุงแต่งรส นมโคผสมสารอาหารต่างๆ เพื่อให้เป็น functional milk อย่างไรก็ตาม ‘นมโคแท้ 100%’ นั้นไม่ใช่สินค้าที่หาซื้อยาก แต่เป็นสินค้าที่มีวางขายทั่วไป พบได้ทุกร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้า และมีหลายแบรนด์ให้เลือกสรร
ในจังหวะที่สังคมกำลังสนใจเรื่องนมโคแท้-ไม่แท้นี้ SPOTLIGHT ขอชวนทำความรู้จักอุตสาหกรรมโคนมไทยมากขึ้นว่า ไทยผลิตนมโคมากน้อยแค่ไหน อย่างไร มีการนำเข้า-ส่งออกมากน้อยแค่ไหน และตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศไทยเป็นอย่างไร แบรนด์ไหนครองส่วนแบ่งตลาดอยู่เท่าใดบ้าง
ประเทศไทยเลี้ยงโคนมมากเป็นอันดับ 10 ของโลก และเป็นประเทศที่ผลิตนมโคมากเป็นอันดับ 10 ของโลกด้วยเช่นกัน
รายงาน ‘โคนมและผลิตภัณฑ์นมไทย: ศักยภาพ และความท้าทาย’ จัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2568 ระบุว่า ในปี 2567 ไทยมีประชากรโคนม 570,000 ตัว และในปี 2568 ณ เดือนกันยายน มีประชากรโคนม 560,551 ตัว ส่วนการผลิตน้ำนมโค ในปี 2567 มีปริมาณการผลิตน้ำนมดิบ 1,031 ล้านตัน ด้านจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในปี 2567 มีจำนวน 15,769 ราย และลดลงเหลือ 15,638 ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2568
จำนวนประชากรโคนมของไทยลดลงมากจากที่เคยมีจำนวน 810,518 ตัวในปี 2564 และปริมาณการผลิตน้ำนมดิบก็ลดลงจากที่ผลิตได้ 1,237 ล้านตันในปี 2564 สอดคล้องกันกับจำนวนโคและจำนวนเกษตรกรที่ลดลง
สาเหตุที่ประชากรโคนมและจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงลดลง เนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้นจากผลกระทบโควิด-19 และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนทำให้ราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับสูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรได้รับยังให้ผลตอบแทนต่ำ โดยเฉพาะกับเกษตรกรรายย่อยรายเล็ก เกษตรกรจำนวนมากจึงเลิกอาชีพเลี้ยงโคนม เหลือเพียงเฉพาะเกษตรกรที่มีทุนและศักยภาพเพียงพอ อีกทั้งเกษตรกรส่วนใหญ่สูงอายุ ขาดผู้สืบทอด และคนรุ่นใหม่ไม่นิยมเลี้ยงโคนมเพราะเป็นงานหนักและต้องทำทุกวัน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่เลิกเลี้ยงได้ขายโคนมให้เกษตรกรรายอื่น ทำให้ขนาดฝูงเฉลี่ยต่อฟาร์มใหญ่ขึ้น
แม้ว่าจะยังอยู่ในกลุ่มท็อป 10 ประเทศผู้ผลิตนมโคของโลก แต่อุตสาหกรรมโคนมไทยยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อัตราผลผลิตน้ำนมต่อตัวต่ำ การพึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก ความผันผวนของราคาน้ำนมดิบ และการแข่งขันจากสินค้านำเข้า
ต้นทุนการผลิตน้ำนมดิบในไทยอยู่ที่ 17.12 บาทต่อลิตร สูงกว่านิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และหลายประเทศในยุโรป แต่ยังต่ำกว่าเบลเยียม เยอรมนี ฝรั่งเศส และลักเซมเบิร์ก ซึ่งสะท้อนว่าต้นทุนการผลิตน้ำนมของไทยอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตน้ำนมสำคัญของโลก โดยต้นทุนอาหารเป็นสัดส่วนหลักในการผลิตน้ำนมดิบของไทย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 76% ของต้นทุนทั้งหมด รองลงมาคือ ค่าแรงงาน 15% ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 6% และค่าบริการสัตวบาล 3%
รายงานของ TDRI คาดการณ์ว่า การบริโภคนมและผลิตภัณฑ์นมภายในประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 ประมาณการการบริโภคอยู่ที่ 1.95 ล้านตัน ขณะที่การผลิตน้ำนมดิบในประเทศมีเพียง 1.012 ล้านตัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค จึงยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าความต้องการบริโภคนมในไทยจะเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการดื่มนมของคนไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก เฉลี่ยเพียง 21.5 ลิตร/คน/ปี เทียบกับค่าเฉลี่ยคนเอเชีย 66 ลิตร/คน/ปี และค่าเฉลี่ยทั่วโลก 113 ลิตร/คน/ปี แสดงให้เห็นว่าคนไทยบริโภคนมน้อยกว่าค่าเฉลี่ยคนเอเชียกว่า 3 เท่า และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลกกว่า 5 เท่า ซึ่งสะท้อนทั้งข้อจำกัดการเข้าถึงและพฤติกรรมการบริโภคที่ยังต้องส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง
การแปรรูปน้ำนมดิบของไทยมี 2 ช่องทางหลัก คือ (1) สหกรณ์โคนม ผลิตนมพร้อมดื่ม โดยส่วนใหญ่เป็นนมยูเอชที และนมพาสเจอร์ไรส์ เพื่อใช้ในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการนมโรงเรียน และนมยูเอชทีส่วนหนึ่งส่งออกไปตลาดอาเซียน (2) โรงงานแปรรูปนมเอกชน แปรรูปนมเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใช้ทำวัตถุดิบผสมเครื่องดื่มและประกอบอาหารจากปริมาณนมส่วนเกิน
ในปี 2567 ประเทศไทยมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมไทย ซึ่งรับซื้อน้ำนมดิบในประเทศเพื่อผลิตนมพร้อมดื่มหรือผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ จำนวน 125 แห่ง แบ่งเป็น เอกชน 81 แห่ง (65%) สหกรณ์ 25 แห่ง (20%) รัฐและสถาบันการศึกษา 14 แห่ง (11%) และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) 5 แห่ง (4%)
การส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย ในปี 2567 มีปริมาณการส่งออก 288,790 ตัน มูลค่า 13,000 ล้านบาท ประเภทสินค้าที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกมากที่สุด คือ นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต รองลงมา คือ นมและครีมไม่เข้มข้น นมและครีมเข้มข้น หางนม (เวย์) เนยแข็ง และเนย
แหล่งส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (23.59%) กัมพูชา (19.49%) สิงคโปร์ (15.19%) ฮ่องกง (8.45%) สปป.ลาว (8.10%) และประเทศอื่นๆ (25.18%)
ฝั่งการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์นมของไทย ในปี 2567 มีปริมาณการนำเข้า 284,931 ตัน มูลค่า 29,000 ล้านบาท ประเภทสินค้าที่มีปริมาณและมูลค่านำเข้ามากที่สุด คือ นมและครีมเข้มข้น รองลงมา คือ หางนม (เวย์) เนยแข็ง นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต เนย และนมและครีมไม่เข้มข้น
แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ นิวซีแลนด์ (50.55%) ออสเตรเลีย (16.88%) สหรัฐอเมริกา (7.93%) ฝรั่งเศส (4.85%) เนเธอร์แลนด์ (3.04%) เบลเยียม (2.44%) เยอรมัน (2.21%) และประเทศอื่นๆ (12.09%)
โฟกัสเข้ามาดูที่ ‘นมพร้อมดื่ม’ ตัดผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ ออกไป ‘นมโคแท้’ ยังคงเป็นชนิดนมที่คนไทยนิยมดื่มมากที่สุด แม้ว่านมทางเลือกอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างเช่น นมอัลมอนด์ นมโอ๊ต และนมแพะ
จากรายงาน ‘Drinking Milk Product in Thailand 2024’ ที่จัดทำโดยบริษัทวิจัยยูโรมอนิเตอร์ (Euromonitor) ระบุว่า ตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศไทยมีมูลค่า 34,993 ล้านบาท ในปี 2566 และประมาณการว่า มูลค่าเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 36,814 ล้านบาท ในปี 2567 ส่วนในปี 2568 นี้ คาดการณ์ว่ามูลค่าจะอยู่ที่ 38,488 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 40,053 ล้านบาท ในปี 2570 จะเพิ่มเป็น 41,576 ล้านบาท และในปี 2571 จะเพิ่มเป็น 43,164 ล้านบาท
ส่วนแบ่งตลาดนมพร้อมดื่มในประเทศไทยในปี 2567 ตามรายงานของยูโรมอนิเตอร์ แสดงให้เห็นว่าตลาดไม่มีแบรนด์ใดครองส่วนแบ่งตลาดแบบนำโด่ง ในกลุ่มผู้นำในตลาดเองก็มีส่วนแบ่งตลาดห่างกันไม่มาก โดยมีส่วนแบ่งตลาด ดังนี้
.
อ้างอิง: TDRI, รายงานโดย Euromonitor สรุปโดยสถาบันอาหาร