
แพ้นมวัว ไม่ใช่แค่ท้องเสีย ทำความเข้าใจใหม่ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการดื่มนมวัว ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต
อาการแพ้นมวัว เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านโปรตีนในนมวัว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทันทีหรือหลายชั่วโมงหลังจากดื่มนม พบบ่อยในทารกและเด็ก โดยโปรตีนในนมที่มักทำให้เกิดอาการแพ้มีสองประเภทหลักๆ ได้แก่ เคซีน (Casein) เป็นกลุ่มโปรตีนหลักที่พบในนม มีสัดส่วนประมาณ 80% ของโปรตีนในนม และเป็นส่วนประกอบที่ทำให้นมมีสีขาว และ เวย์ เป็นผลพลอยได้จากส่วนที่เป็นของเหลวในนมเมื่อจับตัวเป็นก้อน คิดเป็น 20% ของโปรตีนในนม
อาการแพ้นมวัวสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ อาการแพ้แบบรวดเร็ว โดยทั่วไปจะเกิดจากอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมงหลังการรับประทาน และ อาการแพ้แบบช้าที่ไม่ได้เกิดจาก IgE ซึ่งอาการจะใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันจึงจะปรากฏ โดย IgE คือแอนติบอดีที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้น มุ่งเป้าไปที่สารก่อภูมิแพ้บางชนิด แอนติบอดี IgE จะจับกับแมสต์เซลล์ (Mast cells) ที่มีหน้าที่สำคัญในการตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมและการอักเสบในผิวหนัง ทางเดินหายใจ และระบบหัวใจและหลอดเลือด เมื่อแมสต์เซลล์สัมผัสกับโปรตีนนม จะทำให้เกิดการกระตุ้นและหลั่งสารเคมี เช่น ฮิสตามีน ออกมา ซึ่งนำไปสู่อาการแพ้ ซึ่งระดับความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน
อาการที่ไม่รุนแรง ได้แก่ ลมพิษ , คลื่นไส้หรืออาเจียน , ปวดท้อง , ท้องเสีย , ผื่น , คัน หรือบวมบริเวณริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ
อาการรุนแรงอาจรวมถึงภาวะภูมิแพ้รุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ภาวะภูมิแพ้รุนแรงอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ เช่น อาการแน่นหน้าอก , หายใจลำบาก , กลืนลำบาก , ผื่น (ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส) , หายใจมีเสียงหวีด , อาการเวียนศีรษะ , ความดันโลหิตตก และ หมดสติ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความไขความกระจ่าง 6 ความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับการดื่มนมวัว เพื่อให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่อาจจะเข้าใจผิดมานาน เอาไว้ดังนี้
1. อาการท้องอืด และท้องเสียจากการดื่มนม เกิดจากการแพ้นม?
ความจริง : อาการท้องอืดและท้องเสียจากการดื่มนมมิใช่การแพ้ (allergy) แต่เกิดจากร่างกายหยุดสร้างเอ็มไซม์แล็กเทส ทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสในน้ำนมได้ ส่งผลให้มีอาการ ท้องอืด ท้องเสีย ดังนั้น เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว โดยแนะนำให้ดื่มนม 1 แก้ว ต่อ 1-2 สัปดาห์ และไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง ควรดื่มนมหลังอาหารหรือเลือกดื่มนมที่ปราศจากแลคโตส(lactose-free)
2. นมผงมีคุณภาพสู้น้ำนมโคสดไม่ได้?
ความจริง : นมผงมีคุณค่าโภชนาการด้อยกว่าน้ำนมสดเพียงเล็กน้อย จากการที่โปรตีนและวิตามินบางส่วนในน้ำนมสดสลายตัวไปกับความร้อน ซึ่งในทางโภชนาการนับว่าไม่รุนแรง เพราะสารอาหารหลักที่คาดหวังจากการดื่มน้ำนมยังคงอยู่ และที่สูญเสียไปก็สามารถทดแทนด้วยการเสริมลงไปได้
3. ดื่มนมข้าว นมถั่ว นมนัท ทดแทนนมโคได้ ?
ความจริง : คุณภาพของโปรตีนในข้าวและถั่วซึ่งเป็นโปรตีนจากพืช มีคุณภาพด้อยกว่าโปรตีนในน้ำนมซึ่งเป็นโปรตีนจากสัตว์ ดังนั้นผลิตภัณฑ์นมข้าว นมถั่ว และนมนัทที่อาจผลิตขึ้นมาให้มีปริมาณโปรตีนเท่าน้ำนมโค จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายที่ด้อยกว่า เนื่องจากมีกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบถ้วน
4. การดื่มนมเป็นประจำทำให้ดื้อยาปฏิชีวนะจากยาปฏิชีวนะที่ปนเปื้อนในน้ำนมโค?
ความจริง : เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว อาจเป็นความจริง เพราะเกษตรกรบางราย ใช้ยาปฏิชีวนะผสมกับอาหารแม่โคเพื่อป้องกันโรคเต้านมอักเสบ (mastitie) แต่ปัจจุบันการเลี้ยงดูแบบปล่อยทุ่ง ดูแลด้านโภชนาการและสุขภาพของแม่โคตามแนวทางนมพรีเมียมของ อย. และเฝ้าระวังคุณภาพน้ำนมดิบและผลิตภัณฑ์ ทำให้ปัญหาดังกล่าวไม่เกิดขึ้นแล้ว
5. ดื่มนมโคแล้วเกิดมะเร็ง?
ความจริง : ผลวิเคราะห์เอกสารงานวิจัยอย่างเป็นระบบ (systematic reviews) ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งไต มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมไทรอยด์ และ มะเร็งเม็ดโลหิตขาว การดื่มนมและผลิตภัณฑ์นม ช่วยลดคาวมเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งทหารหนัก
6. ดื่มนมกับเนื้อสัตว์ไม่ได้?
ความจริง : การห้ามกินเนื้อสัตว์ร่วมกับน้ำนมเป็นเหตุผลด้านศาสนามากกว่าอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากการฆ่าลูกโคตัวผู้ที่เพิ่งคลอดตามเเนวปฏิบัติของฟาร์มโคนม ทำให้เกรงว่าจะนำเนื้อของลูกโคไปบริโภคพร้อมกับน้ำนมที่ควรจะเป็นอาหารของมัน ซึ่งเป็นข้อห้ามตามความเชื่อในศาสนายิวมิได้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านอาหาร
ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
Advertisement