ประเทศในอาเซียนเริ่มทยอยปิดดีลภาษีกับสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก่อนถึงเส้นตาย 1 ส.ค.68 ล่าสุดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อยู่ที่ 19% เวียดนาม 20% ส่วนในเอเชียอย่างญี่ปุ่น โดนภาษี 15% ทำให้ลุ้นว่าแล้วประเทศไทยจะโดนภาษีกี่%
ความน่าห่วงคือ ภาษีที่สูงกว่าประเทศอื่นจะส่งผลต่อขีดความสามารถทางการส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐฯอย่างมาก แต่หากอยากให้สหรัฐฯลดภาษีให้ไทยจาก 36% ให้ต่ำกว่า 20% ก็หมายถึง ข้อแลกเปลี่ยนจากไทยที่ทำให้ทรัปม์พึงพอใจ เช่น เปิดตลาดการค้ากับสหรัฐฯแบบไม่เก็บภาษีสหรัฐฯเลย แต่นั่นก็ดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่เพราะผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยหนักเอาการ
ดังนั้นหลายฝ่ายจึงประเมินสถานการณ์อัตราภาษีสหรัฐฯจะปิดดีลกับไทยอาจสูงกว่า 20% ก็มีความเป็นไปได้ และสมมติฐานนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังให้ชะลอตัวลงไปอีก รวมถึงส่งผลกระทบลากยาวไปจนถึงเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
ข้อมูลจาก SCB EIC ประเมินว่า แม้ภาครัฐไทยจะพยายามเจรจาสหรัฐฯ ขอปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม 2568 แต่ความเสียเปรียบยังคงอยู่
ผลคือ เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังพอขยายตัวได้ที่ 1.5% ในกรณีเจรจาลดภาษีได้บางส่วน แต่ถ้าแย่สุดคือเจรจาไม่สำเร็จและโดนภาษีเต็มอัตรา 36% GDP ไทยอาจโตแค่ 1.1% เท่านั้น
สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือปี 2569 เพราะผลจากกำแพงภาษีจะยิ่งชัดเจนขึ้น เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตแค่ 1.2% และอาจลดลงถึง 0.4% หากสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีไทย 36% โดยที่คู่แข่งอย่างเวียดนามยังจ่ายแค่ 20% ภาค การส่งออก และ การลงทุนเอกชน จะหดตัวหนัก เพราะต้นทุนค้าขายกับสหรัฐฯ เพิ่มสูง สินค้าไทยอาจเจอมาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ยิ่งเสียเปรียบ โดยเฉพาะสินค้าที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศอื่น
สหรัฐฯ อาจเรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น หมู, ไก่เนื้อ และข้าวโพด ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหว
SCB EIC คาดว่า หากไทยต้องยอมเปิดตลาดจริงรัฐจะต้องมี มาตรการช่วยเหลือชัดเจน เช่น การอุดหนุนรายได้ การเพิ่มขีดความสามารถเกษตรกร หรือปรับโครงสร้างต้นทุน
นอกจากภาษีที่เป็นปัญหาใหญ่กระทบเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กดดัน
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาด SCB EIC คาดว่า กนง. (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) อาจต้องลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ (2568) เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ และหากเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลว อาจต้องลดมากกว่านั้น
ปี 2568 คือ “ปีของการตั้งรับ” ส่วนปี 2569 อาจเป็น “ปีของการซึมยาว” หากไทยไม่สามารถลดความเสียเปรียบในการค้ากับสหรัฐฯ ได้ทันเวลา ขณะที่ภาคเกษตรกำลังถูกท้าทายให้ปรับตัวสู่โลกใหม่ที่แข่งขันกันด้วยต้นทุนและข้อกติกาใหม่
ไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเจรจาเชิงนโยบาย และมาตรการเยียวยาภายในประเทศ เพื่อไม่ให้แรงกระแทกจากสงครามภาษีลุกลามกลายเป็น “วิกฤตเศรษฐกิจใหม่” ในปีหน้า
อ้างอิงข้อมูล SCB EIC