ในวันนี้ (8 ก.ค. 68) นาย พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยแก่ผู้สื่อข่าว แสดงความเชื่อมั่นว่าไทยยังมีเวลาเพียงพอในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดอัตราภาษีนำเข้า 36% ที่จะเริ่มมีผลกับสินค้าจากไทยในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หลังไทยได้รับจดหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งระบุชัดว่าสหรัฐฯ จะยังคงจัดเก็บภาษีในอัตรานี้ หากไทยไม่เสนอเงื่อนไขใหม่ในการเจรจา
นาย พิชัยเปิดเผยว่า ในการหารือระดับรัฐมนตรีที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้เสนอแผนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงถึง 90% โดยบางรายการเสนอให้ยกเว้นภาษีทั้งหมด เพื่อส่งเสริมการเปิดตลาดและรักษาสมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลังเชื่อว่าสหรัฐฯ ยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างจริงจัง และไทยยังมีเวลาและโอกาสในการเจรจาเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ในจดหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งถึงรัฐบาลไทย เขาเริ่มต้นด้วยถ้อยคำให้เกียรติว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ส่งจดหมายฉบับนี้ถึงท่าน” ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาหลักซึ่งสะท้อนถึงความไม่พอใจของสหรัฐฯ ต่อดุลการค้ากับประเทศไทย โดยระบุว่าเป็น “ความไม่สมดุลและไม่ยั่งยืน”
ทรัมป์เขียนว่า “เราต้องหยุดยั้งการขาดดุลการค้าในระยะยาวและต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากภาษีศุลกากร มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี และอุปสรรคทางการค้าจากฝั่งไทย ความสัมพันธ์ระหว่างเรายังห่างไกลจากการเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียม”
ในจดหมายดังกล่าว สหรัฐฯ ระบุชัดว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภทจากประเทศไทยโดยไม่ยกเว้น พร้อมเตือนว่า “สินค้าที่พยายามเลี่ยงภาษีโดยส่งผ่านประเทศไทย” (transshipment) จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสินค้าทั่วไปจากไทย
ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่าภาษี 36% ที่ประกาศใช้นั้น “ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น” หากพิจารณาจากระดับการขาดดุลการค้าระหว่างสองประเทศ และเสนอว่า หากบริษัทไทยต้องการหลีกเลี่ยงภาระภาษี ควรพิจารณาย้ายฐานการผลิตเข้าสู่สหรัฐฯ โดยให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะเร่งอนุมัติการลงทุน “อย่างรวดเร็ว เป็นมืออาชีพ และราบรื่นภายในไม่กี่สัปดาห์”
ทรัมป์ยังระบุว่า หากประเทศไทยพร้อมเปิดตลาดมากขึ้น ยกเลิกนโยบายภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงอุปสรรคทางการค้าอื่น ๆ สหรัฐฯ ก็พร้อมเจรจาปรับเปลี่ยนอัตราภาษีตามความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ พร้อมทิ้งท้ายว่า “เราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกันในฐานะพันธมิตรทางการค้าอีกหลายปีข้างหน้า”
จดหมายฉบับนี้มีขึ้นหลังจากทำเนียบขาวประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราสูงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยทรัมป์เคยเลื่อนการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวออกไป 90 วันเพื่อเปิดทางให้เจรจา แต่เมื่อไม่มีความคืบหน้า ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เขาได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ขยายเวลาผ่อนผันเพิ่มเติม พร้อมส่งจดหมายเตือนไปยัง 14 ประเทศที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงประเทศไทย
สำหรับรายชื่อประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีในรอบนี้ ไทยและกัมพูชาโดนเรียกเก็บ 36%, ลาวและเมียนมา 40%, บังกลาเทศและเซอร์เบีย 35%, อินโดนีเซีย 32%, บอสเนียฯ และแอฟริกาใต้ 30%, ขณะที่ญี่ปุ่น คาซัคสถาน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และตูนิเซีย ถูกเรียกเก็บในอัตรา 25%
ทั้งนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารและส่งจดหมายยืนยันว่าไทยจะยังถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% ไทยได้ยื่นข้อเสนอทางการค้าฉบับปรับปรุงใหม่ต่อสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมื่อค่ำวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อชะลอแรงกดดันจากมาตรการภาษี และเร่งสร้างสมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศให้เร็วขึ้น ข้อเสนอจากฝั่งไทยประกอบด้วย
ข้อเสนอการค้านี้มีเป้าหมายคือ ลดการเกินดุลการค้าของไทยต่อสหรัฐฯ ลงให้ได้ 70% ภายใน 5 ปี สร้างดุลการค้าที่สมดุลภายใน 7–8 ปี ซึ่งถือว่าเร็วกว่าแผนเดิมที่เสนอไว้ (10 ปี) และแสดงความจริงใจและความพร้อมของไทยในการเจรจาอย่างสร้างสรรค์