สงครามการค้ายังไม่ได้ข้อยุติและกำลังกลับมาสร้างความปั่นป่วนอีกครั้งในเวทีการค้าโลก โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศ “ยุติ” การเจรจาการค้ากับแคนาดาอย่างกะทันหัน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 มิ.ย.) หลังจากไม่พอใจที่รัฐบาลแคนาดาเตรียมเริ่มจัดเก็บภาษีบริการดิจิทัลกับบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกัน เช่น Amazon, Meta, Google และ Apple ในอัตรา 3% ของรายได้จากผู้ใช้งานในแคนาดาที่เกิน 20 ล้านดอลลาร์แคนาดาต่อปี โดยจะมีผลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2022 และเริ่มเก็บจริงวันจันทร์นี้
แคนาดาเป็นคู่ค้ารายใหญ่เบอร์สองของสหรัฐฯ รองจากเม็กซิโก และเป็นผู้ซื้อสินค้าสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด โดยในปีที่ผ่านมา แคนาดานำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 349.4 พันล้านดอลลาร์ และส่งออกไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 412.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การยุติการเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจและห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศ
“พวกเราเพิ่งได้รับแจ้งว่า แคนาดาซึ่งเป็นประเทศที่ยากมากในการทำการค้า และความจริงที่ว่า พวกเขาเก็บภาษีกับเกษตรกรของเราสูงถึง 400% มานานหลายปี ในสินค้าเกี่ยวกับนม และตอนนี้แคนาดาได้ประกาศว่าจะจัดเก็บ ภาษีบริการดิจิทัล กับบริษัทเทคโนโลยีของอเมริกา ซึ่งถือเป็น การโจมตีอย่างตรงไปตรงมาและโจ่งแจ้ง ต่อประเทศของเรา
เห็นได้ชัดว่าแคนาดากำลังลอกเลียนแบบสหภาพยุโรป ที่เคยทำแบบเดียวกัน และกำลังอยู่ระหว่างหารือกับเราด้วยเช่นกัน
จากการเก็บภาษีที่ร้ายแรงและไม่เป็นธรรมนี้ เราขอยุติการเจรจาการค้าทั้งหมดกับแคนาดาโดยมีผลทันที เราจะแจ้งให้แคนาดาทราบว่า พวกเขาจะต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่เพื่อที่จะทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกา ภายในระยะเวลา 7 วันนับจากนี้”
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ พยายามลดแรงกระเพื่อมจากคำประกาศของทรัมป์ โดยชี้ว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) มีแนวโน้มจะเปิดการสอบสวนภายใต้มาตรา 301 เพื่อตอบโต้ภาษีดิจิทัลของแคนาดา และอาจนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในมูลค่าความเสียหายที่ประเมินไว้ราว 2 พันล้านดอลลาร์
ฝั่งรัฐบาลแคนาดาเอง ก็ยังยืนยันจะเดินหน้าเจรจาต่อ โดยออกแถลงการณ์ว่า “รัฐบาลแคนาดาจะยังคงมีส่วนร่วมในการเจรจาที่ซับซ้อนเหล่านี้กับสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ของแรงงานและภาคธุรกิจแคนาดา”
แม้สหรัฐฯ จะเพิ่งใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไปกับประเด็นร้อนทั้งการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและร่างกฎหมายภาษีในสภาคองเกรส แต่แนวรบด้านการค้าโลกก็ยังคงดำเนินต่ออย่างเข้มข้น
เบสเซนต์เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประเทศคู่ค้าสำคัญกว่า 18 ประเทศ ที่อยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายจะสรุปข้อตกลงให้ได้ภายใน วันแรงงาน (Labor Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 1 กันยายนนี้ โดยเฉพาะกับจีน ที่มีการปรับข้อตกลงในประเด็นการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็ก ซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และการทหาร
“เรามีประเทศต่าง ๆ เข้ามาหาเราพร้อมข้อเสนอที่ดีมาก” เบสเซนต์กล่าวในรายการ Fox Business Network
“ถ้าเราลงนามข้อตกลงกับ 10 หรือ 12 จาก 18 ประเทศหลัก และมีอีก 20 ความสัมพันธ์สำคัญรออยู่ ผมคิดว่าเราจะสามารถสรุปเรื่องการค้าได้ภายในวันแรงงาน”
อินเดียก็เพิ่งส่งคณะผู้แทนมายังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาเพิ่มเติม และสหรัฐฯ เองก็เพิ่งยื่นข้อเสนอใหม่ให้กับสหภาพยุโรป ขณะที่ญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ย้ำว่า จะเดินหน้าหารือกับสหรัฐฯ เพื่อ “บรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”
อย่างไรก็ตาม สัญญาณหนึ่งที่ทั่วโลกจับตา คือ “เส้นตาย 90 วัน” ที่รัฐบาลทรัมป์เคยกำหนดไว้ว่า หากภายในวันที่ 9 กรกฎาคม ประเทศใดยังไม่สามารถเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ก็อาจเผชิญกับการปรับขึ้นภาษีนำเข้า
แม้ทรัมป์จะยังไม่ยืนยันว่าจะขยายหรือเลื่อนเส้นตายดังกล่าวออกไปหรือไม่ แต่เขากล่าวที่ทำเนียบขาวว่า
“ผมอาจจะขยายเวลา… หรืออาจจะทำให้มันสั้นลงก็ได้”
“ผมอยากจะส่งจดหมายถึงทุกประเทศเลยว่า ยินดีด้วยครับ พวกคุณกำลังจ่ายภาษี 25%”
สำหรับประเทศไทย ตามรายงานข่าวที่ระบุว่าเตรียมจะเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย นายพิชัย ชุณหวชิร เปิดเผยความเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การเจรจามาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐฯ นั้นมีความซับซ้อนสูง และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยฝั่งสหรัฐฯ มีการตั้งทีมเจรจาหลายระดับ ตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ไปจนถึงกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ไทยต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้าน
“นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมี 2 หน่วยงานหลัก คือ สศค. และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ทำงานประสานกันแบบคู่ขนาน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบ และสามารถเจรจาได้อย่างครอบคลุมในทุกระดับ”
นายพิชัยยังชี้แจงถึงการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐฯ เพื่อช่วยประสานและล็อบบี้เชิงนโยบาย โดยระบุว่าอัตราค่าจ้างโดยทั่วไปอยู่ที่ 20,000 – 300,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สำหรับการให้บริการทั่วไป แต่ในกรณีปัจจุบัน สถานการณ์ "Reciprocal Tariff" ทำให้บริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีความสามารถเฉพาะทางสูง และมีความสัมพันธ์เชิงนโยบายกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถเรียกราคาที่สูงขึ้นกว่าปกติได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นงานที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน แข่งกับประเทศอื่น และเกี่ยวพันกับมูลค่าการค้า และการส่งออกของไทยนับแสนล้านบาทต่อปี
นายพิชัย ยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ เพราะอยู่ภายใต้กฎหมาย FARA (Foreign Agents Registration Act) ของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้มีการเปิดเผยรายละเอียดการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาบนเว็บไซต์กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอย่างชัดเจน
รมว.คลังย้ำว่า การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศในยุคนี้ ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิค ความละเอียดรอบคอบ และความกล้าในการตัดสินใจ “ถ้าเราไม่มีตัวช่วยที่ดี ไม่มีทีมที่เข้าใจสหรัฐฯ ไม่มีเครื่องมือที่แข็งแรง ประเทศไทยอาจต้องสูญเสียตลาด ส่งออกสะดุด เกษตรกร ผู้ประกอบการเจ็บหนัก”
จากคำพูดของทรัมป์และพฤติกรรมที่พร้อมเปลี่ยนนโยบายในเวลาไม่กี่วัน นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเชื่อว่า เส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม มีแนวโน้มจะถูก “ขยายออกไป” เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญและเปิดทางให้การเจรจาลุล่วง
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนนี้กำลังเริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน และชะลอการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อยังมีประเทศอีกมากต่อคิวเจรจาการค้า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปราะบางจากทั้งสงคราม ภาษี และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ