ปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงานหรือสถิติที่ปรากฏบนหน้ากระดาษ แต่คือความจริงที่คนไทยหลายล้านคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ตัวเลขหนี้ที่พุ่งสูง รายได้ที่ลดลง และโอกาสที่ค่อย ๆ เลือนหาย กำลังสร้างแรงกระแทกอย่างไม่เท่าเทียมต่อคนในสังคม แม้เราทุกคนจะเผชิญคลื่นลมลูกเดียวกัน แต่เรากลับอยู่ในเรือคนละลำ ความหนักเบาของแรงกระแทกที่ได้รับจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยภาพลึกของปัญหานี้ในงาน "PRACHACHAT EXCLUSIVE FORUM 2025 คน…พลิกวิกฤต" โดยย้ำว่า “หนี้ไม่ใช่บาป” แต่เป็นภาระที่ต้องบริหารจัดการอย่างมีวินัย ไม่สามารถพึ่งโชคชะตาหรือความเชื่อส่วนตัวให้หนี้หมดไปได้ ที่สำคัญ หน่วยงานรัฐและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องลงมือช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง ก่อนที่ปัญหาจะบานปลายจนกลายเป็นกับดักที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงทุกประเด็นสำคัญที่คุณสุรพลได้ถ่ายทอด ตั้งแต่ภาพรวมของหนี้ครัวเรือนไทยในปัจจุบัน ช่องว่างรายได้ของแรงงานที่ขยายกว้างขึ้น การเข้าถึงสินเชื่อที่ลดลง รายละเอียดของหนี้เสียในแต่ละกลุ่มประชากร ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับนโยบายการเงินและผลกระทบเชิงมหภาคที่ยังถูกมองข้ามในวงกว้าง ทั้งหมดนี้คือสัญญาณเตือนที่สังคมไทยไม่ควรมองข้าม หากเราหวังจะพาเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างรุนแรง แต่สิ่งที่สำคัญคือ ผลกระทบที่แต่ละคนได้รับไม่เท่ากัน แม้จะเผชิญคลื่นลมเดียวกัน แต่ทุกคนต่างอยู่ในเรือคนละลำ บางคนอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินที่แข็งแรงมั่นคง บางคนเพียงอยู่บนเรือหาปลาธรรมดา หรือเรือหัวโทงเล็ก ๆ แรงกระแทกจากคลื่นเศรษฐกิจจึงกระทบแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะคนรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
เขาเน้นว่า แม้จะอยู่ในประเทศเดียวกัน ใช้ระบบเศรษฐกิจเดียวกัน แต่โอกาสในการรับมือและฟื้นตัวแตกต่างกันอย่างมาก คนที่มีทรัพยากรเพียงพอสามารถเข้าถึงทางออก ปรับโครงสร้างหนี้ หรือหาช่องทางแก้ปัญหาได้ทันเวลา ขณะที่คนตัวเล็กและผู้มีรายได้น้อยกลับไม่มีโอกาสเหล่านั้น และกำลังจะถูกผลักออกจากระบบเศรษฐกิจโดยไม่ทันตั้งตัว
นายสุรพลย้ำว่า “การเป็นหนี้ไม่ใช่บาป” และไม่มีทางลดหนี้ได้ด้วยโชคหรือบุญกุศล หนี้คือภาระที่ต้องบริหารจัดการด้วยวินัยและความรับผิดชอบตามกฎหมาย "เป็นหนี้ต้องใช้หนี้ สัญญาต้องเป็นสัญญา" ทางออกอยู่ที่การเข้าใจธรรมชาติของหนี้และการวางแผนจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นทักษะที่คนไทยจำนวนมากยังขาด เพราะระบบการศึกษาไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับการปลูกฝังวินัยทางการเงินอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศไทยยังคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ล่าสุด เครดิตบูโร รายงานว่าขณะนี้คนไทยมีหนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโรรวมถึง 13.52 ล้านล้านบาท คิดจากหนี้ของผู้ที่มีสัญชาติไทยซึ่งกู้เงินกับสถาบันการเงินภายในประเทศ ครอบคลุมสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
ที่น่ากังวลคือ อัตราหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังคงสูงถึง 88% ซึ่งเกินระดับวิกฤตที่ 80% และยังเป็นระดับที่เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม
นายสุรพล อธิบายว่า หนี้ครัวเรือนไทยเริ่มเร่งตัวหลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ซึ่งในเวลานั้นประชาชนได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับระดับน้ำ ทำให้การตัดสินใจทางการเงินผิดพลาด ประกอบกับโครงการรถยนต์คันแรกที่ออกมาในเวลาต่อมา กลายเป็นแรงเร่งให้ประชาชนก่อหนี้อย่างมหาศาลในช่วงเวลาสั้น ๆ
แม้ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงจาก 95.5% ในไตรมาสแรกของปี 2565 มาอยู่ที่ 88% แต่นายสุรพลเตือนว่า "อย่าหลงเชื่อตัวเลข" เพราะสาเหตุที่สัดส่วนนี้ลดลงไม่ได้มาจากหนี้ที่ลดลง แต่เกิดจาก GDP ที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำหลังโควิด แต่ในปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 1.8% ต่อปี ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอที่จะลดภาระหนี้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นายสุรพลยังชี้ให้เห็นอีกว่า สถาบันการเงินในปัจจุบันเลือกปล่อยสินเชื่อใหม่เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูง มีหลักประกันมั่นคง ขณะที่คนตัวเล็กและกลุ่มเปราะบางถูกจำกัดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในระบบเศรษฐกิจ
ข้อมูลจากเครดิตบูโรชี้ว่า สินเชื่อเพื่อธุรกิจรายย่อย (Commercial Loan) ที่เคยเป็นแหล่งทุนสำคัญของ SME หดตัวติดลบถึง 5.5% ขณะที่สินเชื่อเบิกเกินบัญชี (Overdraft) ลดลง 8% ส่วนสินเชื่อบ้านและรถยนต์เติบโตต่ำหรือบางช่วงถึงขั้นติดลบ
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า SME และผู้ประกอบการรายย่อยกำลังประสบปัญหาอย่างหนักในการเข้าถึงแหล่งทุน เพราะธนาคารเข้มงวดขึ้นอย่างมากหลังวิกฤตโควิด สินเชื่อใหม่ที่ปล่อยออกมามักมีวงเงินต่ำและเงื่อนไขการค้ำประกันที่เข้มงวด ทำให้ผู้ค้ารายย่อยจำนวนมากต้องหันไปพึ่งพาสินเชื่อนอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินควร
นายสุรพลเน้นว่า วงจรนี้กำลังสร้างปัญหาซ้ำซ้อนในระบบเศรษฐกิจ และอาจกลายเป็นแรงฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในระยะยาว หากไม่เร่งหาทางออกอย่างจริงจัง
หนึ่งในปัญหารากฐานที่ทำให้วิกฤตหนี้ครัวเรือนไทยทวีความรุนแรง คือ "หลุมรายได้" ที่คนตัวเล็กไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ทันเวลา
นายสุรพล ได้ชี้ให้เห็นภาพปัญหานี้ผ่านกราฟ "Income Shock" ที่สะท้อนชัดเจนว่า รายได้ของคนไทยในหลายกลุ่มอาชีพได้รับผลกระทบหนักในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ลูกจ้างในภาคการผลิต และแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดและไม่มีโครงข่ายรองรับความเสี่ยง
นายสุรพลอธิบายว่า ช่วงที่โควิด-19 ระบาดรุนแรง คนกลุ่มนี้จำนวนมากไม่สามารถค้าขายหรือให้บริการได้ รายได้หายไปเฉลี่ยเกือบ 30% และแม้ว่าสถานการณ์จะผ่อนคลายแล้ว แต่เมื่อถึงปี 2567-2568 รายได้ของคนกลุ่มนี้ก็ยังไม่สามารถฟื้นคืนกลับสู่ระดับก่อนวิกฤตได้เต็มที่ รายได้ที่สูญเสียไปไม่ได้กลับคืนมาในอัตราที่สมดุลกับภาระที่รอการชำระ
ในขณะเดียวกัน ภาระหนี้ โดยเฉพาะดอกเบี้ย กลับไม่เคยหยุดนิ่ง ดอกเบี้ยบัตรเครดิตยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 16-18% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่เดินต่อเนื่องทุกวัน แม้ในช่วงที่รายได้ของประชาชนหยุดนิ่งหรือถดถอยก็ตาม นายสุรพลเน้นย้ำว่า "ดอกเบี้ยไม่เคยหยุดเดิน แม้รายได้จะหยุดไหลเข้า" เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงภาวะที่คนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำทางโอกาสอย่างแท้จริง
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุชัดเจนว่า ในช่วงปี 2564-2566 รายได้เฉลี่ยของคนไทยเติบโตเพียงปีละ 3% ในขณะที่ยอดหนี้ครัวเรือนเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% ช่องว่างนี้กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นสมการที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ติดอยู่ในวังวนหนี้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหน รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็ตามไม่ทันภาระหนี้ที่สะสม
นายสุรพลยังกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยเวลานี้ว่า “เงินเดือนใช้หนี้ โอทีใช้กิน” กลายเป็นรูปแบบชีวิตของแรงงานโรงงานในหลายพื้นที่ คนจำนวนไม่น้อยต้องใช้รายได้หลักทั้งก้อนเพื่อชำระหนี้รายเดือน และต้องพึ่งพาการทำงานล่วงเวลา (โอที) เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพในแต่ละวัน
นี่คือภาพสะท้อนของปัญหาหนี้ที่มีชีวิต ไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงาน แต่เป็นความจริงที่กำลังกดทับชีวิตของคนตัวเล็กในสังคมที่ยังขาดกลไกช่วยเหลือที่เพียงพอ และยังไม่มีโครงสร้างรายได้ที่สามารถช่วยให้พวกเขาปีนออกจาก "หลุมรายได้" ได้ทันเวลา ก่อนที่ดอกเบี้ยและหนี้สินจะไล่ทันในทุกย่างก้าวของชีวิต
ด้านสถิติหนี้เสียหรือ NPLs ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2568 สะท้อนภาพรวมของสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยที่ยังน่าเป็นห่วง โดยหนี้เสียในระบบขณะนี้อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ หนี้ที่กำลังจะเสีย (Special Mention Loans) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อรายย่อย
อีกหนึ่งสัญญาณอันตรายที่ชัดเจน คือยอดการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันที่เพิ่มขึ้นจาก 920,000 ล้านบาท เป็น 1.18 ล้านล้านบาทภายในเวลาเพียง 4 เดือน สะท้อนว่าผู้กู้จำนวนมากเริ่มผิดนัดชำระและต้องเข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อประคองตัวให้อยู่ในระบบ
ขณะเดียวกัน หนี้เสียที่เกิดจากวิกฤตโควิด-19 ยังคงค้างอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างแล้วหลังเป็นหนี้เสียมีมูลค่ารวมถึง 1.09 ล้านล้านบาท โดยภาพรวม หนี้ทั้งหมดในระบบเครดิตบูโรขณะนี้อยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้กว่า 33 ล้านรายทั่วประเทศ
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร เน้นย้ำว่า ปัจจุบันมีลูกหนี้ในระบบกว่า 5.1 ล้านคนที่อยู่ในสถานะหนี้เสีย ในจำนวนนี้กว่า 3.3 ล้านคนเป็นหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท คิดเป็นมูลค่าหนี้รวมเพียง 120,000 ล้านบาท หรือประมาณ 20% ของหนี้เสียทั้งหมด
สุรพลตั้งคำถามเชิงนโยบายว่า “คนกลุ่มนี้ควรจะถูกทอดทิ้งหรือไม่?” เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานระดับล่างที่ติดอยู่ในกับดักหนี้ระยะยาว หากได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ในมิติเฉพาะของหนี้สินเชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งสะท้อนภาระหนี้ของแรงงานทั่วไปอย่างชัดเจน เครดิตบูโรมีข้อมูลเชิงลึกถึงระดับที่สามารถระบุได้ว่า รถกระบะรุ่นใด ยี่ห้อใด จังหวัดใด ที่กำลังเข้าสู่ภาวะหนี้เสีย โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า มีรถกระบะกว่า 250,000 คัน ที่เสี่ยงจะถูกยึดภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า และยังมีมอเตอร์ไซค์อีกกว่า 1.3 ล้านคัน ที่อยู่ในสถานะหนี้เสียและผ่านกระบวนการยึดและขายต่อไปแล้ว
นายสุรพลเตือนว่า หากไม่มีมาตรการเชิงรุกออกมารองรับอย่างทันท่วงที แนวโน้มหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้า และอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในวงกว้าง
จากข้อมูลทั้งหมด นายสุรพล เน้นย้ำว่าในทุกตัวเลขของระบบหนี้ ไม่มีตัวใดเป็นเพียงสถิติที่ว่างเปล่า เพราะ “อย่ามองคนเป็นกราฟ อย่ามองตัวเลขเป็นสิ่งไม่มีชีวิต” ทุกตัวเลขล้วนสะท้อนถึงชีวิตจริงของผู้คนที่กำลังดิ้นรนอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม
นายสุรพลยกตัวอย่างกรณี คุณครูในจังหวัดหนึ่ง ที่เมื่อหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้แล้ว พบว่ามีถึง 137 รายจาก 398 รายที่รายได้ติดลบ ต้องพึ่งเงินบำนาญหลังเกษียณเพื่อชำระหนี้ต่อไปจนแทบไม่เหลือใช้
ในภาคแรงงานสถานการณ์ไม่ต่างกัน โรงงานหลายแห่งมีพนักงานที่ต้องนำเงินเดือนทั้งหมดไปชำระหนี้ และต้องพึ่งพา ค่าโอทีเพื่อยังชีพในแต่ละวัน ซึ่งภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน รายได้จากโอทีเองก็ไม่มั่นคง
ภายใต้บริบทปัญหาเหล่านี้ นายสุรพลเรียกร้องให้ ภาครัฐและผู้มีอำนาจเร่งออกมาตรการช่วยเหลือโดยไม่ต้องรอพิธีการ เพราะเวลาของคนตัวเล็กกำลังจะหมดลง หากช้าเกินไป คนเหล่านี้อาจหลุดออกจากระบบเศรษฐกิจอย่างถาวร
"คนตัวเล็กไม่ได้ต้องการอะไรซับซ้อน" นายสุรพลกล่าว "เขาต้องการแค่ มีความรู้ กู้เงินได้ ขายของดี มีกำไร ใช้หนี้ทัน เท่านั้น ใครให้เขาได้ เขาก็จะโหวตให้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า"
นอกจากนี้ นายสุรพลยังเน้นย้ำถึง พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2540 ที่บัญญัติไว้ว่า “การให้กู้ยืมเงินโดยอัตราดอกเบี้ยสูงเกินควรนั้นย่อมเป็นทางเสื่อมประโยชน์ของบ้านเมือง” โดยหลักการนี้ควรได้รับการนำกลับมาทบทวนและบังคับใช้อย่างเข้มงวด เพราะดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบไทยปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงอย่างไม่สมเหตุสมผล และกำลังกลายเป็นภาระที่ฉุดรั้งประชาชนจำนวนมากให้อยู่ในวงจรหนี้ที่ไม่มีทางออก