ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชายังไม่คลี่คลาย แถมล่าสุดยังยกระดับความตึงเครียดขึ้นอีกขั้น เมื่อกัมพูชาประกาศหยุดนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทยแบบทันที มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 22 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป กัมพูชาให้เหตุผลว่า บริษัทพลังงานในประเทศสามารถจัดหาน้ำมันและก๊าซจากแหล่งอื่นได้เพียงพอ ไม่ว่าจะหยุดนำเข้าแค่เดือนเดียวหรือจะนานกว่านั้น ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการจัดจำหน่ายและความมั่นคงพลังงานในประเทศ
แต่มาตรการนี้อาจกลายเป็นปัญหาสำหรับไทย เพราะไทยถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของกัมพูชา ในปี 2567 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบให้กัมพูชารวมมูลค่า 54,989.16 ล้านบาทเลยทีเดียว
ในบทความนี้ SPOTLIGHT จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกตัวเลขการส่งออกน้ำมันและก๊าซไทยไปกัมพูชาแบบละเอียด เพื่อดูให้ชัดว่ามาตรการนี้จะทำให้ไทยและบริษัทพลังงานไทยเสียหายมากแค่ไหนกันแน่
ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาพรวมการส่งออกเชื้อเพลิงจากไทยไปกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ล่าสุดที่กัมพูชาประกาศหยุดนำเข้าเชื้อเพลิงจากไทยแบบไม่มีกำหนด
เฉพาะในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชารวมมูลค่า 22,255.25 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแล้วประมาณ 4,451 ล้านบาทต่อเดือน โดยในจำนวนนี้ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นสินค้าหลักที่ทำเงินสูงสุดถึง 20,011.38 ล้านบาท ขณะที่สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกในช่วงเดียวกัน ได้แก่
นอกจากนี้ เมื่อย้อนดู สถิติปี 2567 ตลอดทั้งปี ไทยส่งออกเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชาสูงถึง 54,989.16 ล้านบาท โดยเป็นยอดจาก น้ำมันสำเร็จรูป ถึง 51,027.26 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของการค้าในหมวดพลังงานระหว่างสองประเทศ ตัวเลขส่งออกในปีดังกล่าวยังแบ่งได้ดังนี้
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากมาตรการหยุดนำเข้าของกัมพูชายังคงดำเนินต่อไปแบบไม่มีกำหนด ไทยอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียรายได้จากการส่งออกเชื้อเพลิง ระดับปีละกว่า 5 หมื่นล้านบาท และหากคำนวณจากสถิติเฉลี่ยในปี 2568 ซึ่งไทยทำรายได้เดือนละประมาณ 4,451 ล้านบาท การหยุดส่งออกในช่วงเวลานี้เท่ากับรายได้ที่เคยมี อาจหายไปทันทีโดยไม่สามารถชดเชยได้ในระยะสั้น
ทั้งนี้ การส่งออกเชื้อเพลิงไปกัมพูชาเกี่ยวข้องกับบริษัทน้ำมันและโรงกลั่นชั้นนำของไทยหลายแห่ง อาทิ OR, PTT, IRPC, Susco, Thai Oil และ Star Refinery รวมถึงผู้ค้าก๊าซแอลพีจีรายใหญ่ เช่น บางจาก ศรีราชา, ไออาร์พีซี, โออาร์, และยูนิคแก๊ส ซึ่งล้วนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานพลังงานของไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการดังกล่าว
นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตัวเลขที่ลดลง แต่เป็นสัญญาณที่เตือนว่าไทยอาจต้องเตรียมหาทางออกใหม่ในตลาดส่งออกพลังงาน และต้องจับตาว่าความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสองประเทศจะคลี่คลายหรือยกระดับไปสู่ผลกระทบที่กว้างกว่านี้หรือไม่
หนึ่งในธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการหยุดนำเข้าของกัมพูชาคือ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ซึ่งมีเครือข่ายธุรกิจในกัมพูชาขนาดใหญ่ ทั้งสถานีบริการน้ำมัน PTT Station จำนวน 186 แห่ง และร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน 254 สาขา
OR เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและอยู่ระหว่างพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรับมือ โดยยอมรับว่าประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม OR เชื่อว่าผลกระทบในภาพรวมจะไม่รุนแรงนัก เนื่องจากบริษัทมีคลังน้ำมันในกัมพูชาหลายแห่ง และยังมีสต็อกเพียงพอสำหรับขายผ่านสถานีบริการในระยะสั้น
โดยแม้กัมพูชาจะเป็นหนึ่งในตลาดต่างประเทศที่ OR ให้ความสำคัญ ภายใต้กลยุทธ์ “บ้านหลังที่สอง” (Second Homebase) ที่ดำเนินการผ่านบริษัท PTT Cambodia Limited (PTTCL) มาตั้งแต่ปี 2538 แต่ในเชิงสัดส่วน รายได้จากกัมพูชายังถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับรายได้ในประเทศไทยที่มีสถานี PTT Station มากกว่า 2,300 แห่ง
นอกจากนี้ OR ยังขยายธุรกิจ Non-oil จากไทยไปกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เช่น ร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry ร้านจิฟฟี่ และ 7-Eleven รวมกว่า 71 สาขา ขณะที่กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปยังกัมพูชามูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างสองประเทศที่ยังมีน้ำหนักสำคัญ แม้จะมีความเสี่ยงเชิงการเมืองเข้ามากระทบในระยะนี้
ทั้งนี้ จากรายงานประจำปี 2567 แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ OR จากการทำธุรกิจหรือส่งออกไปยังกัมพูชาโดยตรง แต่ในปัจจุบัน ปตท. มีเครือข่ายบริษัทในกัมพูชาถึง 4 แห่ง ได้แก่