Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ญี่ปุ่นเร่งนำเข้าข้าวจากเวียดนาม-ไทย บรรเทาราคาพุ่ง-ของขาดในประเทศ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ญี่ปุ่นเร่งนำเข้าข้าวจากเวียดนาม-ไทย บรรเทาราคาพุ่ง-ของขาดในประเทศ

5 มิ.ย. 68
11:03 น.
แชร์

ญี่ปุ่นกำลังเร่งกระจายแหล่งนำเข้าข้าวจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง เพื่อรับมือกับวิกฤตราคาข้าวในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากภาวะอุปทานตึงตัว โดยข้าวจากเวียดนามและไทยถูกมองว่าเป็นทางเลือกสำคัญในการช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภคญี่ปุ่นในช่วงที่เศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาข้าวในญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากปัญหาอุปสงค์และอุปทาน โดยข้าวที่เก็บเกี่ยวในปี 2023 มีคุณภาพต่ำจากคลื่นความร้อน ส่งผลให้ผลผลิตลดลง ขณะเดียวกัน ความต้องการบริโภคกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ข้าวยังถือว่าราคาไม่สูงเกินไป การฟื้นตัวของภาคบริการและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติใหม่ในปี 2024 ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่ออุปสงค์ภายในประเทศ

นอกจากนี้ คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงแผ่นดินไหวใหญ่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายังจุดกระแสการกักตุนสินค้าจำเป็น รวมถึงข้าว ส่งผลให้ตลาดขาดแคลนและราคาขยับสูงขึ้นอีก ข้าวเป็นสินค้าหลักในทุกครัวเรือนของญี่ปุ่น ทำให้อุปสงค์ไม่ลดลงแม้ราคาจะสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในปริมาณอุปทาน เช่น 200,000 ตัน หรือประมาณ 3.3 กิโลกรัมต่อครัวเรือน ก็สามารถส่งผลกระทบต่อระดับราคาทั่วประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ต้องเสียภาษี ญี่ปุ่นยังต้องพึ่งข้าวนำเข้า

โดยทั่วไป รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดข้อจำกัดการนำเข้าข้าวอย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ ผ่านระบบโควตา Minimum Access ซึ่งอนุญาตให้นำเข้าข้าวเพื่อการบริโภคภายในประเทศได้ไม่เกิน 100,000 ตันต่อปีโดยปลอดภาษี ซึ่งโควตาในปีนี้ได้ถูกใช้จนหมดแล้ว

ในปีนี้ แม้ผู้นำเข้าจะต้องเสียภาษีในอัตราสูงถึง 341 เยนต่อกิโลกรัม สำหรับการนำเข้าข้าวนอกเหนือจากโควตาดังกล่าว บริษัทการค้ารายใหญ่หลายที่อย่าง Kanematsu ก็ยังเดินหน้าการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพราะราคาข้าวในประเทศญี่ปุ่นปรับขึ้นเกิน 4,000 เยนต่อถุง 5 กิโลกรัม ทำให้ข้าวจากต่างประเทศยังมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคา

ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เช่น Aeon ได้ตอบสนองต่อภาวะราคาข้าวในประเทศที่สูงขึ้นด้วยการขยายสัดส่วนการจำหน่ายข้าวนำเข้า โดยเริ่มวางจำหน่ายข้าวผสมระหว่างพันธุ์ญี่ปุ่นกับอเมริกันตั้งแต่เดือนเมษายน และเตรียมนำเข้าข้าว Calrose จากแคลิฟอร์เนียในราคาประมาณ 2,894 เยนต่อ 4 กิโลกรัม

ด้านซูเปอร์มาร์เก็ต Seiyu ก็เริ่มจำหน่ายข้าวจากไต้หวันซึ่งเป็นพันธุ์เดียวกับที่ปลูกในญี่ปุ่น ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยข้าวถุงขนาด 5 กิโลกรัม วางจำหน่ายในราคาประมาณ 3,769 เยน ต่ำกว่าราคาข้าวปลูกในประเทศราว 10% ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของผู้ค้าปลีกในการหาทางเลือกที่ประหยัดกว่าให้แก่ผู้บริโภค ท่ามกลางต้นทุนชีวิตที่ยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง

เวียดนามรุกตลาดข้าวญี่ปุ่นเต็มตัว

ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเปิดรับข้าวจากต่างประเทศ กลุ่มบริษัท Tân Long จากเวียดนามเตรียมส่งออกข้าวมายังญี่ปุ่นกว่า 20,000 ตันในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าสี่เท่าจากปีที่แล้ว ปริมาณดังกล่าวเพียงพอต่อการบริโภคของประชากรราว 400,000 คนต่อปี จากเดิมที่เน้นนำเข้าข้าวอินดิก้าเมล็ดยาว Tân Long ได้ขยายการนำเข้าครอบคลุมถึง ข้าวจาโปลนิก้าเมล็ดสั้น ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่นิยมบริโภคในญี่ปุ่นเอง

ข้าวเวียดนามที่นำเข้าจะกระจายไปยังผู้ค้าปลีกหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น เช่น ในจังหวัด คานางาวะ ข้าวถุงขนาด 5 กิโลกรัมที่จัดจำหน่ายโดย Tân Long มีราคาประมาณ 3,200 เยน (22.40 ดอลลาร์สหรัฐ) ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งต่ำกว่าราคาข้าวญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยราว 20%

ด้านบริษัทการค้าญี่ปุ่น Kanematsu เริ่มดำเนินการนำเข้าข้าวตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยตั้งเป้านำเข้ารวม 20,000 ตันภายในสิ้นปี 2025 ส่วนใหญ่เป็นข้าวจากสหรัฐอเมริกา แต่ข้าวจาโปลนิก้าจากเวียดนามก็มีสัดส่วนอยู่ระหว่าง 500 ถึง 1,000 ตัน

“นอกจากราคาที่ดึงดูดใจ ความนิยมของข้าวเวียดนามในหมู่ร้านอาหารญี่ปุ่นในเอเชีย ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความน่าสนใจ” ตัวแทนบริษัทกล่าว พร้อมระบุว่าข้าวจากเวียดนามส่วนใหญ่จะจำหน่ายผ่านช่องทาง ขายส่งให้กับร้านอาหาร ขณะที่บางส่วนจะวางจำหน่ายใน ซูเปอร์มาร์เก็ต โดยคาดว่าราคาขายปลีกจะอยู่ในช่วง 3,500-4,500 เยนต่อถุงขนาด 5 กิโลกรัม

ไทยเร่งดันข้าวพรีเมียม รุกขยายตลาดโลก-ยกระดับรายได้เกษตรกร

ประเทศไทยเดินหน้าส่งเสริมการส่งออกข้าวพรีเมียมสู่ตลาดโลก หวังใช้จุดแข็งด้านคุณภาพและต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรายได้ให้ประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศได้จัดงาน Thailand Rice Convention 2025 ที่กรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติด้านข้าว โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คนจาก 30 ประเทศ รวมถึงตัวแทนจากญี่ปุ่น ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิชัย นริพทะพันธุ์ ได้ประกาศทิศทางชัดเจนว่า ไทยจะมุ่งเน้นการส่งออกข้าวที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะข้าวพรีเมียม เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดโลก และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรไทยในระยะยาว

ข้าวญี่ปุ่นพันธุ์พรีเมียมที่ปลูกในไทย เช่น “สาสะนิชิกิ” และ “อาคิตะโคมาจิ” เริ่มมีวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตย่านใจกลางกรุงเทพฯ เคียงข้างข้าวอินดิก้าทั่วไป โดยในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ข้าวสาสะนิชิกิขนาด 5 กิโลกรัมมีราคาขายเพียง 230 บาท (ประมาณ 7.06 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งต่ำกว่าราคาขายในญี่ปุ่นถึงราว 75% สะท้อนถึงศักยภาพด้านราคาและความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย แม้จะเป็นพันธุ์ที่ผู้บริโภคญี่ปุ่นนิยมบริโภคเป็นหลัก

หนึ่งในจุดแข็งหลักของประเทศผู้ผลิตข้าวในอาเซียน รวมถึงไทย คือการสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ปีละ 2–3 ครั้ง ทำให้มีปริมาณผลผลิตต่อปีมากกว่าญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ต้นทุนแรงงานซึ่งคิดเป็นประมาณ 25% ของต้นทุนรวม ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ส่งผลให้ข้าวไทยสามารถออกสู่ตลาดต่างประเทศในราคาที่แข่งขันได้ โดยไม่ลดทอนคุณภาพ

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) ระบุว่าในปีการค้า 2024–2025 เวียดนามและไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับสองและสามของโลก รองจากอินเดีย โดยแม้ว่าตลาดหลักยังคงเป็นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แต่ญี่ปุ่นก็เริ่มหันมาให้ความสนใจข้าวจากภูมิภาคนี้มากขึ้น อันเป็นผลมาจากวิกฤตราคาข้าวภายในประเทศ


แชร์
ญี่ปุ่นเร่งนำเข้าข้าวจากเวียดนาม-ไทย บรรเทาราคาพุ่ง-ของขาดในประเทศ