การต่อสู้ทางกฎหมายว่าด้วยอำนาจการจัดเก็บภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ มีคำสั่ง “พักการบังคับใช้คำพิพากษา” จากศาลการค้าระหว่างประเทศ (USCIT) ซึ่งเพิ่งตัดสินให้มาตรการภาษีจำนวนมากของทรัมป์เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (IEEPA)
คำสั่งล่าสุดของศาลอุทธรณ์ถือเป็นชัยชนะชั่วคราวของทีมทรัมป์ ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศต่อไปได้ในระหว่างรอการพิจารณาอุทธรณ์ และอาจยื้อเวลาได้ยาวถึงศาลฎีกา ซึ่งจะกลายเป็นเวทีตัดสินชี้ขาดหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่ทรงอิทธิพลและเป็นข้อถกเถียงมากที่สุดของสหรัฐฯ ในศตวรรษนี้
คดีความครั้งนี้เริ่มต้นจากการยื่นฟ้องโดยกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและอัยการสูงสุดจากหลายรัฐ ซึ่งออกมาท้าทายนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะการใช้อำนาจตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act: IEEPA) ซึ่งถูกมองว่าอาจเกินขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต
ผลจากการฟ้องร้องทั้งสองคดี ทำให้ศาลการค้าระหว่างประเทศมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมว่า ภาษีที่รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากจีน เม็กซิโก แคนาดา หรือประเทศอื่น ๆ ล้วนเกินขอบเขตของกฎหมาย IEEPA
ในคำตัดสินดังกล่าว ศาลกำหนดให้รัฐบาลต้องยกเลิกการจัดเก็บภาษีเหล่านี้ภายในระยะเวลา 10 วัน พร้อมทั้งระบุว่า เหตุผลที่รัฐบาลเคยใช้ในการอ้าง “ภาวะฉุกเฉิน” เช่น การลักลอบนำเข้าเฟนทานิล หรือปัญหาขาดดุลการค้า ไม่อาจนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการออกมาตรการภาษีได้อย่างชอบด้วยกฎหมาย
แต่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังศาลการค้าระหว่างประเทศมีคำพิพากษาว่า ภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ (U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit) ก็มีคำสั่ง “พักการบังคับใช้คำพิพากษา” ดังกล่าวเป็นการชั่วคราว โดยเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายโจทก์ยื่นคำแถลงเพิ่มเติมภายในต้นเดือนมิถุนายน
คำสั่งพักการบังคับนี้ถือเป็นจุดพลิกสำคัญของคดี เนื่องจากเปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์ยังสามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าได้ต่อไปในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการรักษาเครื่องมือนโยบายหลักที่ทรัมป์ใช้ผลักดันอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ แม้ว่าจะก่อให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้นต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจในประเทศก็ตาม
ในคำสั่งของศาลอุทธรณ์ยังได้กำหนดให้กลุ่มโจทก์ ซึ่งรวมถึงอัยการสูงสุดจากหลายรัฐและภาคธุรกิจบางส่วน ต้องยื่นคำคัดค้านต่อคำขอเลื่อนการบังคับใช้ของรัฐบาลภายในหนึ่งสัปดาห์ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องยื่นคำตอบกลับภายในวันที่ 9 มิถุนายน
เจฟฟรีย์ ชวาบ (Jeffrey Schwab) ทนายความตัวแทนกลุ่มธุรกิจผู้ฟ้องร้อง ระบุว่า “นี่เป็นขั้นตอนตามกระบวนการปกติในการพิจารณาคำร้องของรัฐบาล” พร้อมแสดงความมั่นใจว่า “ท้ายที่สุดแล้ว ศาลจะปฏิเสธคำขอของรัฐบาล และรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเสียหายร้ายแรงที่ภาษีเหล่านี้ก่อให้กับธุรกิจของลูกความเรา”
อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการอุทธรณ์ยืดเยื้อ หรือหากศาลฎีกาตัดสินรับคำร้องในภายหลัง ก็อาจนำไปสู่การขยายระยะเวลาการระงับคำพิพากษาออกไปอีกหลายเดือน ส่งผลให้รัฐบาลทรัมป์สามารถคงมาตรการจัดเก็บภาษีดังกล่าวได้ต่อไป ซึ่งอาจมีนัยสำคัญต่อทั้งนโยบายเศรษฐกิจและทิศทางทางการเมืองของสหรัฐฯ โดยรวม
หลังศาลอุทธรณ์กลางมีคำสั่ง “พักการบังคับใช้คำพิพากษา” ของศาลการค้าระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราว ทีมกฎหมายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เดินหน้าต่อทันที โดยยืนยันว่าจะต่อสู้ในทุกช่องทางเพื่อรักษานโยบายภาษีตอบโต้ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์มองว่าเป็นกลไกสำคัญของแผนฟื้นฟูการผลิตในประเทศของรัฐบาล แม้จะเผชิญแรงกดดันจากคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อาจกลับมาบังคับใช้ได้อีกในอนาคต
ความเคลื่อนไหวของทีมทรัมป์มีนัยสำคัญต่อทิศทางของนโยบายการค้า เนื่องจากคดีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงคำพิพากษาของศาลการค้าเพียงแห่งเดียว เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาลแขวงสหรัฐฯ ภายใต้การพิจารณาของผู้พิพากษารูดอล์ฟ คอนทราเรส (Rudolph Contreras) ก็มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่บริษัทของเล่น Learning Resources และ hand2mind ฟ้องรัฐบาล โดยชี้ว่าภาษีที่เก็บจากบริษัทเหล่านี้ถือเป็นการใช้อำนาจเกินกรอบของกฎหมาย IEEPA เช่นกัน ทั้งนี้ ศาลให้เวลารัฐบาล 14 วันในการยื่นอุทธรณ์ก่อนที่คำสั่งจะมีผลบังคับใช้
ทำเนียบขาวส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของนโยบายภาษีดังกล่าว โดยโฆษกทำเนียบขาว แคโรไลน์ เลวิตต์ (Karoline Leavitt) แถลงว่า “หากผู้พิพากษาใช้อำนาจเกินขอบเขตเข้ามาขัดขวางการเจรจาทางการค้าและการทูตของฝ่ายบริหาร สหรัฐฯ จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” พร้อมย้ำว่าศาลฎีกาควรเป็นผู้ยุติข้อพิพาทนี้เพื่อปกป้องหลักการของรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ในท้ายที่สุดหากคำพิพากษาของศาลฎีกาไม่เป็นผลในทางกฎหมาย ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์ก็เตรียมพร้อมเดินหน้าด้วยมาตรการสำรอง โดยหันไปใช้กฎหมายอื่นที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารในการดำเนินนโยบายภาษีตอบโต้โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส ตัวเลือกสำคัญในแผนประกอบด้วย
ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาการค้าคนสำคัญของทรัมป์ ยืนยันว่า “ภาษีของเรายังมีชีวิตและแข็งแรง” และเสริมว่า “ทีมกฎหมายของเรากำลังดำเนินการในทุกช่องทางที่กฎหมายเปิดให้ดำเนินการได้”