หลังจากรัฐบาลประกาศเลื่อนโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทออกไปอย่างไม่มีกำหนด รัฐบาลได้เปลี่ยนทิศทางการใช้งบประมาณจำนวน 157,000 ล้านบาทไปสู่ “แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้นได้จริง
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาล ภายหลังจากที่กระทรวงการคลังได้ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งใจความความสำคัญของความเห็นจากผู้ว่า ธปท.ต้องการให้ดูแลความเดือดร้อนต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงการแก้ปัญหาสินค้าจากต่างประเทศที่่ทะลักเข้าไทย
ในหนังสือจากผู้ว่าการ ธปท. ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้เสนอความเห็นต่อแผนดังกล่าวว่า ธปท.เห็นด้วยกับการทบทวนแผนการใช้จ่ายงบประมาณในปีนี้เพื่อรองรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ท้าทายขึ้น และไม่ซ้ำซ้อนกับภาระของแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มผลิตภาพการผลิต และการรักษาระดับการจ้างงาน โดยเฉพาะในการผลักดันและการส่งออกที่มีแนวโน้มไม่ดีขึ้นท่ามกลางความท้าทายจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าสำคัญ (reciprocal tariff) ของประเทศเศรษฐกิจหลัก
ธปท. เห็นว่า การให้ น้ำหนักกับการบรรเทาผลกระทบของเศรษฐกิจแบบมุ่งเป้าจึงอาจครอบคลุมที่ดีขึ้น โดยมีข้อเสนอเพิ่มเติม ดังนี้
ซึ่งเกิดขึ้นจากเงื่อนไขโครงการสิ้นสุดลงในการลดภาษีศุลกากรชั่วคราวที่เคยมีอยู่ โดยตั้งแต่ปี 2565–2567 ทำให้การนำเข้าสินค้าสูงขึ้นถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลต่อกลุ่มเป้าหมาย ส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว นอกจากนี้ ควรมีโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ควบคู่ไปด้วย
(1) การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบที่เข้มงวดใน 3 ด้าน ได้แก่ การตรวจสอบมาตรฐานสินค้า การตรวจสอบสินค้าผ่านด่านและการป้องกันสวมสิทธิ์สินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก
(2) การเร่งรัดกระบวนการไต่สวนข้อพิพาทกับต่างประเทศ เรื่องการที่สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในไทย
(3) การกำหนด ให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขายสินค้าในไทยต้องตั้งสำนักงานในประเทศไทย เพื่อกำกับดูแลเกณฑ์การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าและมีระบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
(4) การกำหนดมาตรการเพิ่มเติม ด้านภาษี โดยตั้งภาษีนำเข้าหรือกำหนดโควตาการนำเข้าสินค้า หรือการเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท
ขณะที่ความคืบหน้าจากฝั่งรัฐบาลระบุว่า แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อเสนอจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยมีคณะกรรมการกลั่นกรองเป็นผู้พิจารณาอนุมัติอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน สำนักงบประมาณประเมินว่า แผนนี้จะ “ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ดำเนินการได้ทันที สร้างงาน กระจายรายได้ และเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็วางรากฐานระยะยาวผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ