การประชุมสุดยอดว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย 2568 (Thailand National AI Summit 2025) จัดขึ้นโดยราชบัณฑิตยสภา ระหว่างวันที่ 10-11 กันยายน พ.ศ.2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งราชบัณฑิตยสภา
ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เทคโนโลยีของโลกอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเองก็อยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ การประชุมสุดยอดว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย 2568 จึงมุ่งหวังที่จะลดช่องว่างด้านความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศผู้นำระดับโลก โดยตระหนักว่า AI เป็นได้ทั้งโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศให้ก้าวกระโดด แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงหากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เป้าหมายสูงสุดของการจัดประชุม คือจะมีการนำข้อสรุปและข้อเสนอแนะจากเวทีนี้ไปจัดทำเป็น "สมุดปกขาว" เพื่อเสนอต่อรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี
สำหรับเป็นแนวทางและแผนพัฒนา AI ที่ชัดเจนสำหรับประเทศไทยในอนาคต การประชุมได้ครอบคลุมประเด็นสำคัญอย่างรอบด้าน เพื่อตอบคำถามว่า ประเทศไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในโลกที่ AI กำลังขับเคลื่อนนี้ รวมถึงการสร้าง "AI ที่สะท้อนคุณค่าความเป็นไทย" การหารือมุ่งเน้นทั้งในมิติของความพร้อมด้านบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐาน การพิจารณาด้านจริยธรรม คุณธรรม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในภาคส่วนสำคัญต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ สมดุล และยั่งยืน
โดยการประชุมถูกแบ่งออกเป็น 7 ภาค รวม 18 หัวข้อบรรยาย ที่จะนำเสนอรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ของ AI ผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และยุทธศาสตร์การเตรียมพร้อมเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศไทยในยุคปัญญาประดิษฐ์
ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช
นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเรียนรู้และการศึกษาต้องเน้นใช้ เพื่อกระตุ้นหรือเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครู และระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง ไม่ใช่ใช้แทนครู ไม่ใช่ทดแทนการเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และต้องใช้เพื่อกระตุ้น การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้เชิงรุกของนักเรียน
AI ไม่ใช่ใช้ช่วยทำงานแทนนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีผลงานส่งครูโดยตนเองไม่ต้องทำงาน นักเรียนและครูต้องใช้วิจารณญาณของตนเองต่อคำตอบหรือคำแนะนำของปัญญาประดิษฐ์ โดยตระหนักว่าปัญญาประดิษฐ์อาจมีความไม่แม่นยำ หรือมีอคติได้ รวมทั้งอาจมีอาการหลอน (hallucination)และต้องไม่ลอกคำตอบของปัญญาประดิษฐ์ไปอ้างเป็นผลงานของตนเอง เพราะเป็นพฤติกรรมทุจริต รวมทั้งต้องระมัดระวังเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ คือ ใช้ช่วยให้คำแนะนำ ป้อนกลับ เพื่อการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องแก่นักเรียนและครู
ศ.นพ. วิจารณ์ ชี้ว่า ปัญหาการศึกษาไทยที่ตกต่ำมาจากการเน้น "ความรู้" เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่การสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพสูงอย่างแท้จริง ควรปรับเปลี่ยนไปสู่ "การเรียนรู้แบบองค์รวม" (Holistic Learning) ซึ่งครอบคลุมทั้งค่านิยม (Values), เจตคติ (Attitudes), ทักษะ (Skills), และความรู้ (Knowledge) หรือที่เรียกว่า VASK โดยรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมควรเน้น Mastery Learning (เรียนรู้จนเป็นนิสัย), Active Learning (เรียนรู้จากการปฏิบัติ), และ Experiential Learning (เรียนรู้จากประสบการณ์จริง) AI ไม่ควรใช้เพื่อหาคำตอบที่รวดเร็ว (System 1 Thinking) แต่ควรใช้เพื่อฝึกการคิดที่ซับซ้อนและรอบคอบ (System 2 Thinking) ครูควรใช้ AI เพื่อลดภาระและสร้างคำถามที่ท้าทายความคิด ส่วนนักเรียนควรใช้เวลาอยู่กับ AI ไม่เกิน 20% และใช้เวลา 80% กับกิจกรรมจริง เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะ AI ไม่ควรเข้ามาแทนที่การเรียนรู้ร่วมกันของมนุษย์
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ได้นำเสนอ แผนยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ พ.ศ. 2565-2570 ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาและพัฒนา AI ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ จริยธรรม โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน การวิจัยและพัฒนา และการประยุกต์ใช้ในภาคส่วนสำคัญ โดยมีการพัฒนาโครงการสำคัญต่างๆ เช่น การสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์, แพลตฟอร์ม AI ภาษาไทย, และการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) "ปทุมมา"
ผลการขับเคลื่อนแผนในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา เน้นการเตรียมความพร้อมตามยุทธศาสตร์ 3 ด้านแรก เช่น
นอกจากนี้ ยังมีการริเริ่มโครงการด้านวิจัยและนวัตกรรม เช่น
การขับเคลื่อนแผนในระยะต่อไป ยังคงเน้นการพัฒนากำลังคนในทุกระดับ ตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับวิชาชีพ การดึงดูดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ และการพัฒนา AI เพื่อการประยุกต์ใช้ในภาครัฐและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น การแพทย์และสุขภาพ การศึกษา และเกษตรกรรม โดยอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชนในสาขาต่าง ๆ
คุณโฆษิต สุขสิงห์
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
กว่า 25 ปีที่กลุ่มไทยเบฟได้เดินหน้าพัฒนาองค์กร ไม่ใช่เพียงการเติบโตทางธุรกิจ แต่ยังลงทุนต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างขีดความสามารถภายใน (Internal Capability) ของตนเอง ไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินงาน วิสัยทัศน์จากผู้นำองค์กรรุ่นต่าง ๆ ตั้งแต่คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี และคุณปณต สิริวัฒนภักดี
เบื้องหลังความสำเร็จของไทยเบฟคือระบบโลจิสติกส์ที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ในระดับประเทศและภูมิภาค
ระบบโลจิสติกส์นี้ถูกบริหารจัดการด้วยขีดความสามารถภายในทั้งหมดทำให้ไทยเบฟสามารถควบคุมคุณภาพ เสถียรภาพ และการพยากรณ์การเติบโตในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไทยเบฟเลือกพัฒนาแนวคิด “AI + Human + Automation” เสมือนวงออร์เคสตราที่ทุกบทบาทสำคัญต้องทำงานร่วมกัน
คุณโฆษิต ย้ำช่วงท้ายว่า การเอา AI มาใช้ในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ต้องมีความชัดเจนว่านำมาแก้ Pain point เรื่องอะไรและแก้ถูกจุดหรือไม่ ถ้าหาดเราทำได้ดีวางแผนได้ถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างมากเหมือนอย่างที่ไทยเบฟได้ดำเนินการเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน
ศาสตราจารย์ ดร.โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์
ภาคีสมาชิก ประเภทวิชาปรัชญา สาขาวิชาอัคฆวิทยา
สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง วิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้เข้ามามีบทบาทในสังคมเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีนั้นเข้ามาช่วยงานและทำให้งานต่าง ๆ ของผู้คนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการผลิตข้อความ การทำนายผล หรืออุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องมีคนบังคับ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้น นอกจากจะสร้างประสิทธิภาพแก่การทำงานแล้ว ก็ยัง ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่าง ๆ ต่อสังคม ด้วย เช่น
การคิดอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรมต่าง ๆ ของปัญญาประดิษฐ์นั้น ควรคำนึงถึง ความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ด้วย การแก้ปัญหาด้านจริยธรรมจึงไม่ควรพึ่งพาแนวคิดทางจริยธรรมที่มาจากโลกตะวันตกแต่เพียงประการเดียว เพราะจะเป็นการทำลายความแตกต่างทางวัฒนธรรมในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ จึงเสนอว่า หลักคิดของสังคมไทยซึ่งรับมาจากคำสอนของพระพุทธศาสนา สามารถเสนอหลักการพื้นฐานของจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ เป็นการวิพากษ์หลักการของตะวันตก แต่ในขณะเดียวกันเห็นการรักษาความเห็นพ้องกันเกี่ยวกับความสำคัญของการคิดค้นหลักจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีรพัฒน์ โชคสุวัฒนสกุล
คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามาปฏิวัติวงการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั่วโลก โดยมีการประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในหลายแง่มุม เช่น
ซึ่งการนำ AI มาใช้ในบริบทประเทศไทยก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ การปรับใช้ AI ในไทยมีความท้าทายเฉพาะตัว ได้แก่
ในด้านมิติทางจริยธรรมและธรรมาภิบาล (Governance) ของการใช้ AI ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเน้นว่า ต้องใช้ AI อย่างรับผิดชอบ และหลีกเลี่ยงการใช้เพียงเพื่อสร้างภาพ (AI-Washing)
คำถามสำคัญด้านความน่าเชื่อถือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีรพัฒน์ ได้ยกตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับ ความเชื่อถือและความไว้วางใจ ระหว่างมนุษย์และ AI เมื่อเปรียบเทียบกับ อัลกอริทึมของ AI แม้ว่าจะมีความถูกต้องแม่นยำสูง แต่ก็มีองค์ประกอบของ ความไม่แน่นอน (stochastic process) อยู่เช่นกัน นี่จึงถูกเรียกว่าเป็นปัญหา “สองมาตรฐาน” ในการประเมินความผิดพลาดระหว่างมนุษย์กับ AI ท้ายที่สุด ปัญหาสำคัญคือ ความไม่ชัดเจนในเรื่องความรับผิดทางกฎหมายของ AI ซึ่งทำให้เห็นภาพความซับซ้อนของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการกฎหมาย ดังนั้นการใช้ AI ในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงตัวผลิตภัณฑ์หรือความก้าวหน้าของโมเดล AI เท่านั้น
ศาสตราจารย์ดร. ชิดชนก เหลือสินทรัพย์
ราชบัณฑิตประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์
สำนักวิทยาศาสต ร์ภาควิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
AI เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาในสาขาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และให้ผลที่น่าพึงพอใจต่อผู้ใช้งานในปัจจุบัน ความสามารถของเทคโนโลยีนี้ทำให้เกิดความเข้าใจหรือความเชื่อกันไปว่า เทคโนโลยีเอไอสามารถทำได้ทุกอย่าง เสมือนยา “วิเศษ” ที่รักษาได้ทุกโรค และยังทำให้เกิดความหวาดกลัวในตด้านต่างๆ อาจทำให้คนตกงาน ก่อสงคราม หรือทำให้สติปัญญาขิงเด็กลดลง สิ่งเหล่านี้ เป็นจริงหรือแค่คาดการณ์ การบรรยายนี้จึงมีเป้าหมายที่จะ ถอดรหัส ให้ประชาชนเข้าใจว่า เอไอสร้างขึ้นมาจากอะไร ใช้ความรู้อะไรบ้าง เพื่อให้สามารถมองเห็นขอบเขตที่แท้จริงของความสามารถของเอไอ รวมทั้งปัญหาที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมระดับสากลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการพัฒนาเทคโนโลยีนี้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกพล ช่วงสุวนิจ
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ Generative AI ได้นำมาซึ่งความสามารถในเทคโนโลยีการแปลงข้อความเป็นเสียง (Text-to-Speech, TTS) ซึ่งก็ได้สร้างความท้าทายที่สำคัญในด้านความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนทางเสียง ทำให้ต้องมีการสำรวจภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนของเทคโนโลยีการสร้างเสียงพูด โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับระบบการตรวจจับและมาตรการป้องกันการสวมรอยเสียง (Voice Spoofing)
ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงมีความพยายามในการทำงานวิจัยขั้นสูงในการพัฒนาชุดข้อมูลการสวมรอยเสียง วิธีการตรวจจับ และกลยุทธ์การป้องกัน ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงจากการสังเคราะห์เสียงและการแอบอ้างตัวตนของผู้ไม่ประสงค์ดี
ดร.ฐิติพัทธ อัชชะกุลวิสุทธิ์
ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ในปัจจุบัน การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ได้รับการประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายใน การวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ และ การประมวลผลภาษาธรรมชาติทางการแพทย์ ซึ่ง ดร.ฐิติพัทธ ได้อธิบายพัฒนาการโดยรวมของเทคโนโลยี AI ตามลำดับเวลา โดยโมเดลที่ใช้งานมีตั้งแต่งานแมชีนเลิร์นนิ่งแบบดั้งเดิม เช่น การจำแนกประเภทด้วยการตรวจสอบวัตถุ การแบ่งส่วนจากภาพ (segmentation)ไปจนถึงโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบหลายรูปบ (Multimodal LLM) ที่สามารถอ่านภาพเอกซ์เรย์และให้ผลการตีความได้การนำเสนอ
ดร.ฐิติพัทธ ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์การวิจัยอาทิ การประยุกต์ใช้กับภาพจอประสาทตา (Fundus) และ ภาพ OCT สำหรับการวินิจฉัยโรคตา การสร้างโครงสร้างกะโหลกศีรษะและขากรรไกรใหม่และการนำไปใช้ร่วมกับแพทย์ นอกจากนี้ยังรวมถึงการประยุกต์ใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติล่าสุดเช่น การสร้างเกณฑ์คัดเลือกผู้เข้าร่วมการศึกษาทางคลินิกเพื่อช่วยในการวางแผนการทดลองทางคลินิก และระบบตอบคำถามทางการแพทย์ที่มีการอ้างอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้
ทั้งนี้การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มีศักยภาพในการปรับปรุงคุณภาพการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำสููงและการประมวลผลข้อมูลทางคลินิกที่มีประสิทธิภาพการนำเสนอจะแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ความท้าทายที่พบในแต่ละช่วงเวลาและแนวโน้มการพัฒนาในอนาคตของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในบริบทของการดูแลสุขภาพ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร
Massachusetts Institute of Technology (MIT), USA
การสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยกระดับความสามารถและส่งเสริมความงอกงามของมนุษย์ (human flourishing) ทั้งในระดับบุคคลและสังคม ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชา งานวิจัยของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทน์ ใช้แนวทางสหวิทยาที่มุ่งเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ส่วนบุคคล (personal AI systems) เพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ (human-AI interaction) ในเงื่อนไขต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน
องค์ความรู้ใหม่แก่แวดวงวิชาการ มีดังนี้
เป้าหมายของงานวิจัย คือการสถาปนาสาขาวิชาใหม่ “Cyborg Psychology” โดยคำว่า Cyborg มาจากคำว่า cybernetics ซึ่งมันคือ ปรากฏการณ์ของการรวมร่างระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทน์ เชื่อว่า ความคิดของมนุษย์ถ่ายทอดลงไปสู่เทคโนโลยีได้ ทำให้เกิดสมองที่สองของมนุษย์ได้ ดังนั้นการศึกษาของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทน์ มุ่งเน้นการศึกษาแบบสหสาขาเพื่อการเสริมสร้างความสามารถของมนุษย์ และเสริมศักยภาพให้นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เข้าใจผลกระทบของทางเลือกในการออกแบบระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดยุคฟื้นฟูทางปัญญาใหม่ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติในระยะยาว และให้ AI ช่วยพัฒนามิติต่างๆของมนุษย์ และต้องไม่โดน AI หลอก
รองศาสตราจารย์ ดร.ธีรณี อจลากุล
ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)
รัฐบาลไทยประกาศแผนพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) สู่อนาคตชาติ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างไทยให้เป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI ในอาเซียน ซึ่งเป็นความร่วมมือสำคัญระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยแผนงานนี้เรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ” ซึ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของคนไทยให้พร้อมรับมือและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI อย่างเต็มที่ในทุกมิติของชีวิต
การวางแผนพัฒนา AI ของไทยจำเป็นต้องเป็นระบบ ครอบคลุม และเหมาะสมกับทรัพยากรด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ โดยแบ่งเป็นสองมิติหลัก คือ
ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทย
AI สามารถช่วยแก้ไขปัญหาท้าทายหลายด้านของประเทศ ตั้งแต่การเติบโตของ GDP ไปจนถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุ และการพัฒนาการศึกษา
AI คือ กุญแจ ขับเคลื่อนอนาคตไทย AI มีศักยภาพ สามารถช่วยเพิ่ม GDP ไทยได้สูงถึง 14–16%
ใน 10 ปี (ข้อมูลจาก McKinsey & WEF) หากไทยไม่เร่งขับเคลื่อน AI วันนี้ เราจะเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันระดับภูมิภาค
ประโยชน์ของ AI ในมิติต่างๆของประเทศ
ทั้งนี้ภาพรวมการลงทุน AI ในประเทศไทยจากบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีระดับโลกสู่การเป็น AI Hub แห่งอาเซียน ปัจจุบันมูลค่าการลงทุนรวมโดยประมาณ (ที่ประกาศแล้ว) 5.3 – 6 แสนล้านบาท (ยังไม่รวมการลงทุนจาก Microsoft และบริษัทอื่น ๆ ที่ยังไม่ประกาศตัวเลข)
ทำไมจึงสำคัญกับ AI ของไทย?
ดร.สรณะ นุชอนงค์ สถาบันวิทยสิริเมธี
ความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับโลก ขับเคลื่อนผ่าน 3 มิติหลัก ได้แก่ การใช้งานเชิงพาณิชย์ การค้นพบองค์ความรู้ใหม่ และการพัฒนาเครื่องมือและทรัพยากรที่สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ใหม่
แม้ว่าสังคมจะให้ความสนใจไปที่มิติแรก เช่น ผู้ช่วยอัตโนมัติ หรือระบบเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานต่าง ๆ แต่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดรากฐานจากสองมิติหลัง ที่มุ่งวิเคราะห์และยกระดับกระบวนการเรียนรู้ของระบบ AI อย่างลึกซึ้งและเป็นระบบ
หนึ่งในความท้าทายสำคัญของ AI คือ การสร้างความสามารถที่ generalize ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในบริบทที่ข้ามภาษา (cross-lingual generalization) เช่น หากโมเดลเรียนรู้การใช้เหตุผล (reasoning) ได้ดีในภาษาอังกฤษ ความสามารถนั้นจะถ่ายทอดหรือแสดงออกในภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาที่มีทรัพยากรจำกัด ได้มากน้อยเพียงใด
การประเมินจึงต้องไม่จำกัดอยู่แค่การวัดผลบนข้อมูลที่ระบบถูกฝึกมา แต่ควรครอบคลุมกรณีที่โมเดลต้องทำงานในสถานการณ์ใหม่ ภาษาใหม่ หรือสภาพแวดล้อมใหม่ แนวโน้มในปัจจุบันคือ การออกแบบชุดข้อมูลและเครื่องมือวัดผลที่สามารถแยกแยะได้ว่า โมเดลเรียนรู้ “สิ่งที่ควรเรียน” หรือเพียงแค่จำจากข้อมูลที่เคยเห็นมาเท่านั้น
การสร้าง ecosystem ที่ส่งเสริมความสามารถในการวิจัยเรื่องการ generalize ข้ามภาษาและบริบท จำเป็นต้องมีการลงทุนทั้งในระดับ ทรัพยากรข้อมูล (เช่น datasets ที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้), เครื่องมือประเมิน (เช่น benchmarks ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจวัดศักยภาพการเรียนรู้ที่แท้จริง),
และ โครงสร้างพื้นฐานในการฝึกและทดสอบโมเดลขนาดใหญ่ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทบาทของ สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะบัณฑิตวิทยาลัย คือจุดศูนย์กลางของการสร้างองค์ความรู้เหล่านี้ ผ่านการทำงานแบบเปิด ความร่วมมือระดับภูมิภาค และการสร้างความไว้วางใจในการแบ่งปันทรัพยากร ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นรากฐานที่จำเป็น หากเราจะเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ตาม” (adopter) ไปเป็น “ผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของ AI ในระดับโลก”
ดร.นนทวัฒน์ เจริญภักดี นักวิจัย บริษัท Preferred Networks, Inc.
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ที่พัฒนาด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) มีประโยชน์อย่างมากในการแก้ปัญหาในหลากหลายสาขา ความสำเร็จเหล่านี้มักเกิดจากการมีข้อมูลฝึกจำนวนมากและมีคุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากที่มีการเก็บอย่างครบถ้วนและถูกต้อง มักเป็นเรื่องยากเนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ เช่น ต้นทุนในการเก็บข้อมูล ข้อกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัว ลักษณะเฉพาะตัวของข้อมูลที่อาจทำให้ข้อมูลที่เก็บมามีความผิดพลาด รวมถึงการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการตรวจสอบข้อมูล ส่งผลให้ข้อมูลฝึกมักมีความไม่สมบูรณ์
นอกจากนี้ แม้ว่า AI จะมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงเมื่อวัดจากตัวชี้วัด เช่น ความแม่นยำ แต่ AI ก็อาจแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ผู้ใช้เกิดความไม่เชื่อถือได้ เช่น การทำนายผิดแม้มีความมั่นใจสูงในข้อมูลที่ผู้ใช้เห็นว่าไม่น่าผิดพลาดได้
ทิศทางการวิจัย ก็เพื่อสร้างระบบ AI ที่เชื่อถือได้ภายใต้ข้อจำกัดด้านข้อมูลทั้งแนวทางพื้นฐานและแนวทางใหม่ ๆ เช่น การเรียนรู้แบบมีผู้สอนที่ให้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ (Weakly Supervised Learning)
การเรียนรู้ที่รักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-preserving Learning) ซึ่งช่วยให้สามารถเรียนรู้จากข้อมูลอ่อนไหวได้โดยไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว
ส่วน“ความน่าเชื่อถือ” ของระบบ AI พบว่า ความแม่นยำเพียงอย่างเดียวไม่สะท้อนถึงความสามารถของระบบในการรู้ขอบเขตของตนเอง ระบบ AI ที่เชื่อถือได้ควรสามารถประเมินและสื่อสารความไม่แน่นอน หลีกเลี่ยงการตัดสินใจเมื่อความมั่นใจต่ำ และสามารถอธิบายเหตุผลในการตัดสินใจได้ในรูปแบบที่ผู้ใช้งานเข้าใจ ดังนั้นความท้าทาย คือ ประเทศไทยเราจะสามารถใช้จุดแข็งที่มีอยู่ในการพัฒนา AI ที่เชื่อถือได้ภายใต้ข้อจำกัดด้านข้อมูลได้อย่างไร
ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล ภาคีสมาชิก ประเภทวิชาวรรณศิลป์
สาขาวิชาภาษาไทย สำนักศิลปกรรม
เราตระหนักดีว่า AI เข้าถึงข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็ว และประมวลผลเรื่องที่ซับซ้อนได้ในพริบตา แต่ AI ยังเข้าถึงข้อมูลอัตลักษณ์ไทยที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือได้อย่างจำกัด ทำให้ผลลัพธ์ที่ AI ประมวลออกมาดูน่าเคลือบแคลง และเป็นอันตรายอย่างมากต่อวงการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้เรียนเน้นเอาง่ายและเอาเร็วเข้าไว้ ขณะที่ครูไม่ใส่ใจตรวจสอบผลงานของผู้เรียน
อันตรายยิ่งขึ้นไปอีก หากผลงานที่ AI ประมวลออกมานั้นถูกใส่กลับเข้าไปในระบบเครือข่ายที่ AI เข้าถึงได้ อันตรายอีกประการหนึ่ง คือ AI อาจนำเสนอภาพอัตลักษณ์ไทยออกสู่สายตาชาวโลกด้วยภาพที่ดูเหมือนใช่ แต่ที่จริงกลับไม่ใช่ หากผู้ใช้งาน AI ชาวต่างชาติหลงเชื่อถือ อัตลักษณ์ไทยในความรับรู้ของชาวต่างชาติก็จะค่อย ๆ คลาดเคลื่อนไปเรื่อย ๆ
จากเดิมที่ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เคยเห็นอัตลักษณ์ไทยโดดเด่นท่ามกลางอัตลักษณ์ร่วมของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความโดดเด่นนั้นอาจค่อย ๆ เลือนรางไปในจักรวาลของ AI
ประเด็นนี้ ราชบัณฑิตยสภา สถาบันอุดมศึกษา และกระทรวงวัฒนธรรม จำเป็นต้องตระหนัก และมีมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ พร้อมแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อป้อนข้อมูลอัตลักษณ์ไทยที่มีคุณค่าทางวิชาการและน่าเชื่อถือสูงเข้าสู่ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร MIT Media Lab, USA
และ นายพิเชษฐ กลั่นชื่น
โครงการนี้นำเสนอแนวทางในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านนาฏศิลป์ไทยให้เป็นเทคโนโลยีด้วย interactive computational models ที่ขยายขอบเขตของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้ไกลกว่าการเพียงบันทึกการแสดงที่แช่แข็งท่าเต้นเอาไว้ไม่นำไปสู่การงอกงามทางศิลปะ
โครงการนี้นำเสนอแนวคิด “Human–AI co-dancing” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผสานนักเต้นมนุษย์กับนักเต้นเสมือนจริง (virtual dance partners) ที่ขับเคลื่อนด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์ (model) ซึ่งได้มาจากองค์ความรู้ทางการเต้น (choreographic principles)
โครงการมุ่งเน้นไปที่องค์ความรู้จาก ท่ารำใน “แม่บทใหญ่” อันเป็นพื้นฐานของนาฏศิลป์ไทย โดยท่ารำเหล่านี้ได้รับการวิเคราะห์ ตีความ และแปลงเป็นกระบวนการทางคณิตศาสตร์ในคอมพิวเตอร์ ที่สามารถควบคุมและสร้างท่าเต้นบนร่างกายของ virtual character แบบ real-time
ทีมวิจัยได้พัฒนา interactive system ที่ช่วยให้นักเต้นสามารถมีปฏิสัมพันธ์ (improvise) และเต้นร่วมกับ virtual character ได้ โดยใช้ระบบ voice control รับคำสั่งเสียง ซึ่งช่วยให้นักเต้น ผู้ออกแบบท่าเต้น หรือแม้แต่ผู้ชม สามารถมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยน choreography ของ virtual characters ผ่านการปรับ parameters ที่สะท้อนถึงองค์ประกอบของนาฏศิลป์ไทย
การซ้อมเต้นระหว่างมนุษย์กับ AI ได้ให้ผลลัพธ์ทางศิลปะที่น่าสนใจ เกิด สุนทรียะแบบใหม่ จากการผสมผสานและความแตกต่างระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี งานวิจัยนี้ยังนำไปสู่ผลงานการแสดงที่มีชื่อว่า “Cyber Subin” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี เพื่อขยายขอบเขตการแสดงออกทางศิลปะ และอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมในบริบทร่วมสมัย
ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ListenField จำกัด
บริษัท ListenField ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ เป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหาการเกษตรไทย โดยพัฒนาระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่ผสานการวิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติ เพื่อทำให้ห่วงโซ่อุปทานสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า และพัฒนาศักยภาพการผลิตของเกษตรกรตั้งแต่การเตรียมดินไปจนถึงการเก็บเกี่ยว
เทคโนโลยีของบริษัท ListenField ถูกนำไปใช้งานจริงแล้วในประเทศญี่ปุ่น ไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการใช้งานครอบคลุมพื้นที่กว่า 500,000 ไร่ ในประเทศไทย ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ข้าวโพดหวาน อ้อย ข้าว และมันสำปะหลัง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำการเกษตรเพิ่มขึ้นกว่า 20% และยังมีการทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตอาหารทั้งในระดับประเทศและระดับสากลอีกด้วย
ศาสตราจารย์ นายแพทย์รุ่งโรจน์ พิทยศิริ
ราชบัณฑิต ประเภทวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์
สาขาวิชาอายุรศาสตร์ สำนักวิทยาศาสตร์
เมื่อโลกหมุนเข้าสู่ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) การแพทย์ก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉย ท่ามกลางวิกฤตประชากรสูงวัย โรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศ การนำ AI มาประยุกต์ใช้ในระบบสุขภาพจึงไม่ใช่เพียงโอกาส — แต่คือ ความจำเป็น
ประเทศไทยมีต้นทุนสำคัญที่พร้อมจะก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพของภูมิภาค” ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรแพทย์ที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง หรือข้อมูลสุขภาพที่หลากหลาย การประยุกต์ใช้ AI ในบริบทของไทยได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในหลายมิติ ตั้งแต่การคัดกรองโรคพาร์กินสันผ่านแอปพลิเคชัน การใช้ AI ช่วยวินิจฉัยมะเร็ง การติดตามผู้สูงอายุที่บ้าน ไปจนถึงระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติในโรงพยาบาลชนบท
แต่ไม่ว่า AI จะทรงพลังเพียงใด ก็ยังไม่เพียงพอ หากไร้ความเข้าใจมนุษย์ บทเรียนจากทั่วโลกสะท้อนว่า “AI ที่ประสบความสำเร็จ” คือ AI ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ ไม่ใช่แทนที่ แนวคิด “Co-intelligence” จึงเป็นหัวใจสำคัญ คือการบูรณาการระหว่างสติปัญญาของมนุษย์กับอัลกอริทึมที่แม่นยำและใช้ได้จริง เพื่อยกระดับประสบการณ์ทั้งของแพทย์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และโดยเฉพาะผู้มารับบริการอย่างยั่งยืน
การเดินหน้าของประเทศไทยในเส้นทางนี้ยังเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การยอมรับของประชาชน รวมถึงจริยธรรมทางการแพทย์ในยุคที่อัลกอริทึมเริ่มมีบทบาทตัดสินใจแทนมนุษย์ ดังนั้น การพัฒนา AI ทางการแพทย์จึงต้องไม่ลืมคำสำคัญ 3 คำ คือ “โปร่งใส เท่าเทียม และน่าเชื่อถือ”
การประชุม AI Summit ครั้งนี้ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศไทยในการกำหนดทิศทาง “AI เพื่อประชาชน” โดยเฉพาะในระบบสุขภาพที่ทุกคนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้มารับบริการ แพทย์ ผู้พัฒนา หรือผู้กำหนดนโยบาย เพราะอนาคตของระบบสุขภาพไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับ AI เพียงอย่างเดียว — แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราจะออกแบบ “AI ที่เข้าใจมนุษย์” ให้เป็นคู่คิดทางสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศได้อย่างไร
ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย
นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย
การขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ภาคเอกชนได้ประยุกต์ใช้ AI ในหลากหลายสาขา อาทิ การผลิต เกษตร อาหาร ยานยนต์ โลจิสติกส์ พลังงาน การเงิน และการแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมธุรกิจใหม่
แนวคิด “มูลค่าเพิ่มจากปัญญาประดิษฐ์” (AI Added Value) หมายถึงการสร้างคุณค่าใหม่ที่มีมูลค่าสูง เช่น การใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย การลดความสูญเสียในสายการผลิต และการสร้างบริการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักใช้ AI เพื่อเพิ่มผลตอบแทนเชิงธุรกิจในจุดสำคัญ
ปัจจัยแห่งความสำเร็จประกอบด้วย
อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ยังเผชิญความท้าทาย เช่น ความพร้อมของข้อมูล จำนวนผู้เชี่ยวชาญที่ยังจำกัด ต้นทุนสูง และความกังวลด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ ภาคเอกชนจึงเสนอให้รัฐสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มาตรการจูงใจทางภาษี การพัฒนาบุคลากร และการกำหนดมาตรฐาน AI
บทเรียนจากต่างประเทศชี้ว่า ความสำเร็จต้องอาศัย นโยบายระดับชาติ การลงทุนวิจัย และความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อน AI ในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน และก้าวสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย
ราชบัณฑิต ประเภทวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา สำนักวิทยาศาสตร์
โดยมีวิทยากรผู้ร่วมเสวนา
-ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกพล ช่วงสุวนิช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-ดร.นนทวัฒน์ เจริญภักดี Preferred Networks, Japan
-ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย
-ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร MIT Media Lab, USA
ประเด็นสำคัญจากการเสวนา:
1. ความรอบรู้ทางด้าน AI (AI Literacy)
2. การพัฒนา Foundation Model ของไทย
สถานะปัจจุบันและความท้าทาย
ความเป็นไปได้ในการตั้งบริษัท AI แห่งชาติ
3. ผลกระทบของ AGI (Artificial General Intelligence)
ความกังวลและโอกาส
4. ผลกระทบต่อแรงงานและการปรับตัว
5. AI กับความเหลื่อมล้ำ
6. การศึกษาในยุค AI
7. วิสัยทัศน์และนโยบาย AI ระดับชาติ
คำแนะนำและข้อคิดจากผู้เชี่ยวชาญ
และภาคภาคที่ 7 ปิดการประชุม โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา และได้ให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT ว่า การประชุมสุดยอด AI ครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีเป้าหมายหลักในการให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ AI และหารือถึงแผนงานที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมบุคลากร การพิจารณาด้านจริยธรรม คุณธรรม และกฎหมาย รวมถึงการประยุกต์ใช้ AI ในสาขาต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์ถูกมองว่าเป็นทั้งโอกาสสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่หากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้วัตถุประสงค์สูงสุดของการประชุมคือการจัดทำ "สมุดปกขาว" เพื่อเสนอต่อรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางและแผนพัฒนา AI สำหรับประเทศไทยในอนาคต
ขอบคุณภาพและข้อมูล : จากราชบัณฑิตยสภา